0:00:08.690,0:00:10.272 ลองดูนี่ 0:00:10.272,0:00:14.769 นี่คือตาราง ไม่มีอะไรพิเศษ[br]แค่ตารางธรรมดาทั่วไป 0:00:14.769,0:00:18.546 แต่ดูที่จุดสีขาวตรงกลาง 0:00:18.546,0:00:22.824 ตรงที่เส้นขวางและเส้นดิ่งตัดกันให้ดี ๆ 0:00:22.824,0:00:26.545 ดูให้ดี ๆ เห็นอะไรแปลก ๆ ไหม 0:00:26.545,0:00:27.915 ไม่เห็นจะมีอะไร 0:00:27.915,0:00:30.686 ดูต่อไป[br]ลองจ้องต่อไป 0:00:30.686,0:00:33.742 แล้วลองเพ่งที่จุดสีขาวนี้ 0:00:33.742,0:00:36.689 แล้วดูรอบ ๆ ว่าเห็นอะไร 0:00:36.689,0:00:43.697 จุดอื่นยังเป็นสีขาวไหม[br]หรือกลายเป็นจุดสีเทากะพริบ 0:00:43.697,0:00:46.654 ลองมาดูถาดอบมัฟฟินนี้บ้าง 0:00:46.654,0:00:50.865 อุ๊ย ขอโทษที มีหลุมหนึ่ง[br]นูนออกมาแทนที่จะบุ๋มลงไป 0:00:50.865,0:00:54.994 เดี๋ยวก่อน ลองกลับด้านถาดดู[br]อีกห้าหลุมกลับปูดออกมาแทน 0:00:54.994,0:00:58.475 จะยังไงเสีย ถาดนี้ก็มีตำหนิ 0:00:58.475,0:01:02.168 ส่วนนี่คือรูปอับราฮัม ลินคอล์น[br]และรูปนี้กลับหัว 0:01:02.168,0:01:03.866 ไม่มีอะไรแปลก 0:01:03.866,0:01:09.827 เดี๋ยวก่อน ลองกลับหัวให้ถูกทิศ[br]เกิดอะไรขึ้นกับลินคอล์นกันเนี่ย 0:01:09.827,0:01:13.491 ทั้งสามภาพเป็นเหมือนภาพลวงตา[br]มันหลอกพวกเรา 0:01:13.491,0:01:15.175 มันเป็นไปได้อย่างไรกัน 0:01:15.175,0:01:18.389 ภาพพวกนี้มีเวทมนตร์หรืออย่างไร 0:01:18.389,0:01:20.942 หรือพวกเราอาจแอบใส่จุดเทากะพริบ 0:01:20.942,0:01:24.123 รอบจุดสีขาวในตารางเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้ 0:01:24.123,0:01:26.417 แต่ ขอสัญญาเลยว่าเราไม่ได้ทำ 0:01:26.417,0:01:30.333 คุณจะเห็นแบบเดียวกัน[br]แม้จะลงมือพิมพ์ลงบนกระดาษธรรมดา 0:01:30.333,0:01:35.855 ที่จริงแล้ว ตารางนี้เป็นแค่ตารางธรรมดา[br]แต่ไม่ใช่สำหรับระบบรับภาพในสมอง 0:01:35.855,0:01:40.615 นี่คือวิธีที่สมองตีความข้อมูลแสง[br]จากตารางที่คุณเห็น 0:01:40.615,0:01:46.170 จุดตัดสีขาวถูกล้อมรอบด้วย[br]เส้นสีขาวทั้งสี่ด้าน[br] 0:01:46.170,0:01:49.437 ซึ่งมีมากกว่าจุดสีขาวในเส้น 0:01:49.437,0:01:54.231 เซลล์จอประสาทตาตรวจจับได้ว่า[br]มีสีขาวมากกว่าที่รอบ ๆ จุดตัด 0:01:54.231,0:01:59.632 เพราะพวกมันเพิ่มความแตกต่างของแสง[br]ด้วยวิธียับยั้งเซลล์ข้างเคียง 0:01:59.632,0:02:03.389 ยิ่งเห็นความแตกต่างของแสงมาก[br]ยิ่งทำให้เห็นขอบของวัตถุได้ง่าย 0:02:03.389,0:02:07.780 ซึ่งตาและสมองของเรา[br]วิวัฒนาการมาเพื่อเห็นสิ่งนี้ 0:02:07.780,0:02:11.633 เซลล์จอประสาทตาไม่ตอบสนองต่อสีขาว[br]ของจุดตัดมากเท่าที่ควร 0:02:11.633,0:02:15.847 เพราะเกิดการยับยั้งเซลล์ข้างเคียง[br]ที่เส้นสีขาวรอบ ๆ มากกว่า 0:02:15.847,0:02:20.041 ซึ่งเส้นเหล่านั้น[br]ถูกล้อมรอบด้วยสีดำ 0:02:20.041,0:02:22.307 นี่ไม่ใช่เพราะตาคุณบกพร่อง 0:02:22.307,0:02:26.503 หากคุณมองเห็นได้ ภาพลวงตา[br]ก็หลอกคุณได้แม้ว่าจะสวมแว่นตา 0:02:26.503,0:02:30.331 ไม่ว่าจะดูจากกระดาษ[br]หรือจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า 0:02:30.331,0:02:32.355 ภาพลวงตาแสดงให้เห็นว่า 0:02:32.355,0:02:37.025 เซลล์รับแสงและสมองนั้น[br]ประกอบข้อมูลภาพ 0:02:37.025,0:02:39.895 เป็นโลกสามมิติรอบตัวเราได้อย่างไร 0:02:39.895,0:02:42.169 และเน้นตรงขอบมุมเป็นพิเศษ 0:02:42.169,0:02:45.789 เพราะวัตถุที่มีขอบคม[br]อาจช่วยหรือฆ่าเราได้ 0:02:45.789,0:02:49.316 ลองดูถาดมัฟฟินอีกรอบ[br]รู้ไหมอะไรทำให้คุณสับสน 0:02:49.316,0:02:54.812 สมองส่วนของการมองเห็น[br]ทำงานโดยคิดว่าแสงในภาพ 0:02:54.812,0:02:59.222 ต้องมาจากแหล่งเดียว[br]โดยฉายจากด้านบนลงล่าง 0:02:59.222,0:03:03.573 และส่วนของเงา[br]ต้องเกิดจากแสงที่ส่องลงมา 0:03:03.573,0:03:07.131 ตรงส่วนนูนของโดม[br]หรือที่ก้นหลุมเท่านั้น 0:03:07.131,0:03:10.547 หากเราวาดภาพแรเงาแบบเดียวกันนี้ 0:03:10.547,0:03:12.652 แม้บนกระดาษเรียบๆ 0:03:12.652,0:03:17.319 สมองของเราจะสร้างทรงเว้าหรือทรงนูน[br]โดยอัตโนมัติ 0:03:17.319,0:03:20.195 ทีนี้มาดูรูปลินคอล์นกลับหัวชวนขนลุกกัน 0:03:20.195,0:03:23.185 ใบหน้ากระตุ้นการทำงาน[br]ของสมองบริเวณ 0:03:23.185,0:03:27.152 ส่วนที่พัฒนามาเพื่อช่วยเราแยกแยะ[br]ใบหน้ามนุษย์โดยเฉพาะ 0:03:27.152,0:03:31.944 เช่น เขตรับรู้หน้าในรอยนูนรูปกระสวย[br]และส่วนอื่น ๆ ในสมองกลีบท้ายทอยและขมับ 0:03:31.944,0:03:34.974 ซึ่งสมเหตุสมผล[br]เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม 0:03:34.974,0:03:37.914 ที่มีวิธีปฏิสัมพันธ์ซับซ้อนอย่างมาก 0:03:37.914,0:03:41.186 เมื่อเห็นใบหน้า [br]เราต้องแยกแยะได้ว่านี่คือใบหน้า 0:03:41.186,0:03:44.475 และบอกสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว 0:03:44.475,0:03:47.769 สิ่งที่เราสนใจที่สุด[br]คือตาและปาก 0:03:47.769,0:03:51.539 เพราะช่วยบอกเราว่า[br]คนคนนั้นโกรธเราอยู่หรืออยากผูกมิตร 0:03:51.539,0:03:53.085 ในภาพหน้าลินคอล์นกลับหัว 0:03:53.085,0:03:56.104 ตาและปากหันถูกทิศแล้ว 0:03:56.104,0:03:58.302 เราจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก 0:03:58.302,0:04:01.819 แต่เมื่อกลับหัวภาพ[br]ส่วนที่สำคัญที่สุดของใบหน้า 0:04:01.819,0:04:06.617 นั่นคือตาและปาก ดันกลับหัว[br]เราจึงรู้ว่าภาพผิดเพี้ยนไป 0:04:06.617,0:04:10.770 เราบอกได้ว่าสมองเราใช้ทางลัด[br]และมองข้ามบางอย่างไป 0:04:10.770,0:04:14.938 นี่ไม่ใช่เพราะสมองขี้เกียจ[br]แต่เป็นเพราะมันยุ่งอย่างมาก 0:04:14.938,0:04:18.454 จึงต้องใช้พลังงาน[br]ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 0:04:18.454,0:04:24.595 และพึ่งสมมติฐานเกี่ยวกับข้อมูลภาพ[br]เพื่อสร้างภาพโลกที่ดัดแปลงแก้ไขมาแล้ว 0:04:24.595,0:04:27.641 ลองจินตนาการสมองของเรา[br]แก้ไขภาพเหล่านี้ทันทีที่เห็น 0:04:27.641,0:04:29.732 “โอเค สี่เหลี่ยมนั้นอาจเป็นสิ่งของ 0:04:29.732,0:04:33.724 เพิ่มค่าความแตกต่างของแสงตรงขอบ[br]ด้วยการยับยั้งเซลล์ข้างเคียง 0:04:33.724,0:04:34.948 ทำให้ขอบเข้มขึ้นอีก! 0:04:34.948,0:04:36.874 ไล่จากเทาเข้มไปเทาอ่อน 0:04:36.874,0:04:39.891 น่าจะมีแดดเหนือศีรษะ[br]ตกกระทบส่วนโค้ง ต่อไป! 0:04:39.891,0:04:43.782 ตาคู่นี้เหมือนตาที่เคยเห็นมา[br]ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน” 0:04:43.782,0:04:47.380 เห็นไหม ภาพลวงตาเหล่านี้[br]เผยให้เห็นหน้าที่ของสมอง 0:04:47.380,0:04:52.012 ในฐานะผู้กำกับภาพเคลื่อนไหวสามมิติ[br]ในห้องส่งภายในกะโหลกของเรา 0:04:52.012,0:04:56.270 ทำหน้าที่แบ่งสรรพลังสมอง[br]และสร้างโลกไปด้วย 0:04:56.270,0:05:01.020 ด้วยกลเม็ดที่ใช้ได้ผลจริงแท้[br]แม้อาจลวงหลอกบ้างก็ตาม