WEBVTT 00:00:07.369 --> 00:00:09.722 เรื่องราวในพระคัมภีร์ เล่าถึง หอคอยแห่งเมืองบาเบล 00:00:09.722 --> 00:00:12.566 ซึ่งเล่าว่าแต่เดิมนั้น มนุษย์เราพูดภาษาเดียวกัน 00:00:12.566 --> 00:00:14.818 แต่แล้วเราก็ถูกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ 00:00:14.818 --> 00:00:16.973 จนเราไม่สามารถพูดกันเข้าใจได้ 00:00:16.973 --> 00:00:20.526 เราไม่ทราบแน่ว่า ภาษากลางตั้งต้นนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ 00:00:20.526 --> 00:00:23.792 แต่เรารู้ว่า ในภาษาจำนวนหลายพัน ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ 00:00:23.792 --> 00:00:27.021 สามารถสืบย้อนไป จนเหลือจำนวนไม่กี่ภาษา 00:00:27.021 --> 00:00:29.245 แล้วทำไมเราจึงมีภาษามากมาย 00:00:29.245 --> 00:00:31.607 ในยุคแรกของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 00:00:31.607 --> 00:00:33.652 โลกของเรายังมีประชากรน้อย 00:00:33.652 --> 00:00:36.621 กลุ่มชนต่างๆ ก็มีภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน 00:00:36.621 --> 00:00:38.726 แต่ก็มักจะแบ่งออกเป็นเผ่าต่างๆ 00:00:38.726 --> 00:00:42.166 ซึ่งแต่ละเผ่าก็อพยพไปคนละทาง ตามแต่ ลักษณะพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และล่าสัตว์ได้ 00:00:42.166 --> 00:00:44.600 เมื่ออพยพไปตั้งถิ่นฐานในถิ่นใหม่ 00:00:44.600 --> 00:00:46.611 พวกเขาแยกห่างจากกัน 00:00:46.611 --> 00:00:48.652 และพัฒนาไปในทิศทางที่แตกต่างกัน 00:00:48.652 --> 00:00:50.475 ช่วงเวลาหลายร้อยปี ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน 00:00:50.475 --> 00:00:51.569 ทานอาหารต่างกัน 00:00:51.569 --> 00:00:53.482 พบเจอเพื่อนบ้านหลายแบบ 00:00:53.482 --> 00:00:56.886 และเปลี่ยนเสียงที่เคยคล้ายคลึงกัน ให้ต่างออกไป และมีคำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น 00:00:56.886 --> 00:00:59.197 จนในที่สุดก็กลายเป็นคนละภาษา 00:00:59.197 --> 00:01:02.912 ภาษาต่างๆ ก็แยกย่อยออกไปเรื่อยๆ เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 00:01:02.912 --> 00:01:06.597 เช่นเดียวกับการสืบหาต้นตระกูล นักภาษาศาสตร์สมัยใหม่ก็พยายามทำการสืบค้น 00:01:06.597 --> 00:01:09.705 ที่มาของภาษาต่างๆ ย้อนกลับไปในอดีต 00:01:09.705 --> 00:01:12.651 จนกระทั่งพบว่าภาษาใดบ้างที่มีบรรพบุรุษ หรือ ภาษาต้นกำเนิดเดียวกัน 00:01:12.651 --> 00:01:16.865 ภาษาต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกันในอดีตเช่นนี้ เราเรียกว่าเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน 00:01:16.865 --> 00:01:20.271 ซึ่งอาจประกอบด้วย กิ่งก้านสาขา แยกย่อยออกไปมากมาย 00:01:20.271 --> 00:01:24.416 แล้วเราจะบอกได้อย่างไรว่า ภาษาเหล่านี้เกี่ยวข้องกัน 00:01:24.416 --> 00:01:26.570 เสียงที่ฟังดูคล้ายกัน อาจไม่ช่วยบอกอะไร 00:01:26.570 --> 00:01:29.862 เพราะมันอาจเป็นการสืบหารากศัพท์ที่ผิดพลาด หรืออาจเป็นคำที่ยืมมา 00:01:29.862 --> 00:01:32.382 มากกว่าที่จะเป็นภาษาที่มีรากเดียวกัน 00:01:32.382 --> 00:01:34.756 ไวยากรณ์ หรือ วากยสัมพันธ์ (Syntax) เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่า 00:01:34.756 --> 00:01:36.463 รวมทั้งเราอาจดูจากคำศัพท์พื้นฐานร่วมด้วย 00:01:36.463 --> 00:01:39.146 เช่น คำคุณศัพท์ การนับเลข หรือ คำบอกความสัมพันธ์ในครอบครัว 00:01:39.146 --> 00:01:41.504 ที่ไม่ค่อยถูกยืมมาจากภาษาอื่น 00:01:41.504 --> 00:01:43.790 การนำข้อมูลลักษณะนี้มาเปรียบเทียบกัน อย่างเป็นระบบ 00:01:43.790 --> 00:01:46.346 เพื่อมองหารูปแบบความคล้ายคลึงกัน หรือลักษณะการแปลงเสียงที่เหมือนกัน 00:01:46.346 --> 00:01:48.556 ระหว่างภาษาสองภาษา 00:01:48.556 --> 00:01:50.501 ทำให้นักสัทศาสตร์สามารถบอกได้ 00:01:50.501 --> 00:01:52.718 ถึงความสัมพันธ์ และสืบย้อนกลับเพื่อหา ลำดับขั้นพัฒนาการของภาษา 00:01:52.718 --> 00:01:56.723 และยังสามารถสร้างภาษายุคโบราณขึ้นมา ทั้งที่ไม่ปรากฏภาษาเขียนได้อีกด้วย 00:01:56.723 --> 00:02:00.744 นักสัทศาสตร์ยังสามารถให้ข้อมูล ด้านประวัติศาสตร์อื่นๆ ได้อีก 00:02:00.744 --> 00:02:04.683 เช่น ลักษณะถิ่นที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณ 00:02:04.683 --> 00:02:06.542 โดยอ้างอิงจากที่มาของคำศัพท์ ที่คนกลุ่มนั้นใช้ 00:02:06.542 --> 00:02:08.761 และคำศัพท์ที่ยืมมา 00:02:08.761 --> 00:02:10.724 แต่นักสัทศาสตร์ประสบปัญหาใหญ่ อยู่สองประการ 00:02:10.724 --> 00:02:13.049 เวลาที่พวกเขาพยายามวาด แผนภูมิเครือญาติของภาษา 00:02:13.049 --> 00:02:15.642 ปัญหาแรกคือ พวกเขาไม่สามารถตัดสินได้ว่า 00:02:15.642 --> 00:02:17.505 กิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงออกไป จะจบลงที่ตรงไหน 00:02:17.505 --> 00:02:22.755 จะบอกได้จากอะไรว่า ภาษาใดบ้างควรถูกจัดเป็นภาษาหนึ่ง หรือเป็นเพียงสำเนียงถิ่น 00:02:22.755 --> 00:02:25.248 เช่น ภาษาจีน นับเป็นหนึ่งภาษา 00:02:25.248 --> 00:02:29.052 แต่สำเนียงถิ่นของภาษาจีนนั้น มีความหลากหลายมากถึงขึ้นฟังเหมือนเป็นคนละภาษา 00:02:29.052 --> 00:02:31.017 ในขณะที่ คนที่ใช้ภาษาสเปนและโปรตุเกส 00:02:31.017 --> 00:02:32.885 มักจะพูดกันได้เข้าใจ 00:02:32.885 --> 00:02:35.626 ภาษาเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานโดยผู้คน 00:02:35.626 --> 00:02:38.041 จึงไม่ได้ถูกแยกแยะออกเป็นประเภทต่างๆ 00:02:38.041 --> 00:02:40.111 แต่มักจะเกิดการค่อยๆถ่ายโอน 00:02:40.111 --> 00:02:42.621 ข้ามพรหมแดนและการแบ่งแยกต่างๆ 00:02:42.621 --> 00:02:44.900 ความแตกต่างระหว่างภาษาและสำเนียงถิ่น 00:02:44.900 --> 00:02:48.011 มักเกิดจากการแบ่งแยกทางการเมืองและชาติพันธ์ุ 00:02:48.011 --> 00:02:50.637 มากกว่าที่จะเป็นความแตกต่างในทางภาษาศาสตร์ 00:02:50.637 --> 00:02:52.877 นี่คือสาเหตุที่คำถามที่ว่า "มีภาษาทั้งหมดอยู่กี่ภาษา" 00:02:52.877 --> 00:02:56.026 อาจมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่มากมาย ระหว่าง 3,000 ถึง 8,000 ภาษา 00:02:56.026 --> 00:02:58.080 ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนนับ 00:02:58.080 --> 00:03:00.784 ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ยิ่งย้อนขึ้นไป 00:03:00.784 --> 00:03:02.149 ในช่วงบนของสาแหรกเครือญาติ 00:03:02.149 --> 00:03:05.445 เราก็ยิ่งมีหลักฐานเกี่ยวกับภาษาน้อยลง 00:03:05.445 --> 00:03:07.499 การแบ่งภาษาออกเป็นตระกลูต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้ 00:03:07.499 --> 00:03:10.675 บอกถึงข้อจำกัดที่ยังมีอยู่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษา 00:03:10.675 --> 00:03:12.615 ว่าคงไม่มีความแน่นอน หรือ ไม่มีเหตุผลเชื่อถือได้สักเท่าไร 00:03:12.615 --> 00:03:14.194 ซึ่งหมายความว่า ภาษาคนละตระกูล 00:03:14.194 --> 00:03:17.359 อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอื่นๆ ไม่ว่าในระดับใด 00:03:17.359 --> 00:03:18.819 แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงไป 00:03:18.819 --> 00:03:21.593 เพราะมีทฤษฎีใหม่ๆ ของความเกี่ยวข้อง ในชั้นต้นๆ ของความสัมพันธ์ 00:03:21.593 --> 00:03:23.706 ที่เรียกกันว่ากลุ่มตระกูล (super family) ซึ่งก็เป็นทฤษฎี 00:03:23.706 --> 00:03:25.436 ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง 00:03:25.436 --> 00:03:27.015 และยังมีภาษาอื่นๆที่นำมาพิจารณาร่วม 00:03:27.015 --> 00:03:29.992 โดยเฉพาะภาษาแม่ที่มีจำนวนผู้ใช้ภาษาน้อยๆ 00:03:29.992 --> 00:03:32.432 ซึ่งยังไม่ได้ถูกศึกษาอย่างลึกซึ้ง 00:03:32.432 --> 00:03:35.293 ทำให้เราอาจไม่มีวันบอกได้เลย ว่าภาษามีวิวัฒนาการมาอย่างไร 00:03:35.293 --> 00:03:38.808 หรือว่าแท้จริงแล้ว ภาษาทุกภาษามีบรรพบุรุษเดียวกันหรือไม่ 00:03:38.808 --> 00:03:41.426 แล้ววิวัฒนาการแตกต่างกันออกไป เพราะการอพยพ 00:03:41.426 --> 00:03:44.158 แต่ครั้งต่อไป ถ้าคุณได้ยินภาษาต่างประเทศ ลองตั้งใจฟังดูดีๆ สิ 00:03:44.158 --> 00:03:46.571 มันอาจจะไม่ได้ต่างจากภาษาของคุณ มากอย่างที่คุณคิดก็ได้