ด้วยความสัตย์จริงเลยนะครับ ด้วยบุคลิกภาพผมแล้วเนี่ย ผมไม่ค่อยร้องไห้บ่อยนักหรอกครับ ซึ่งผมคิดว่าสำหรับอาชีพของผม มันเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว ผมเป็นนักกฎหมายด้านสิทธิพลเมืองครับ และผมได้พบเห็นเรื่องราวสะเทือนใจ ในโลกนี้จำนวนมาก ผมเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นตำรวจ ปราบปรามคดีผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ในปี 1994 ผมถูกส่งไปรวันดา เพื่อทำหน้าที่ผู้อำนวยการ งานสืบสวนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของสหประชาชาติ ผมพบว่าน้ำตาไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก เมื่อคุณพยายามสืบสวนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ สิ่งที่ผมต้องเห็น ต้องรู้สึก ต้องสัมผัส มันเกินกว่าจะบรรยายได้ สิ่งที่ผมสามารถบอกพวกคุณได้ก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวรวันดานั้น คือหนึ่งในความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงที่สุด ของโลกของความเห็นอกเห็นใจอย่างธรรมดา คำว่า "compassion" แท้จริงแล้วมาจากคำในภาษาละติน 2 คำ คือ คำว่า "cum passio" ซึ่งแปล อย่างง่ายๆว่า "ทุกข์ทรมานกับ" และหลายสิ่งที่ผมได้เห็นและได้ประสบ ในรวันดา ในขณะที่ผมได้เข้าไปใกล้ กับความทุกข์ทรมานของมนุษยชาติ ในช่วงเวลาเหล่านั้น มันทำให้ผมหลั่งน้ำตา ผมเพียงแต่หวังให้ผมและคนที่เหลือบนโลกนี้ ได้เคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ และไม่ใช่แค่เพียงเพื่อร้องไห้ แต่เพื่อหยุดยั้ง การฆ่าล้างเผ่าพันธ์อย่างแท้จริง ในอีกด้านหนึ่ง ผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง กับหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของโลกของความเห็นอกเห็นใจ นั่นคือการต่อสู้กับความยากจนทั่วโลก มันอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่เชื่อมโยงให้พวกเราทุกคนมาอยู่ที่นี่ ผมไม่รู้ว่าบทเริ่มต้นของพวกคุณ อาจจะเป็นการร้องประสานเสียง เพลง "We Are the World," หรืออาจจะเป็นรูปภาพของเด็ก ที่ได้รับการอุปการะบนประตูตู้เย็นของคุณ หรืออาจจะเป็นวันเกิด ที่คุณบริจาคน้ำดื่มสะอาด ผมจำได้ไม่แน่ชัดว่าอะไร คือจุดเริ่มต้นให้ผมรู้จักกับความยากจน แต่ผมจำเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดได้ครับ มันคือเมื่อตอนที่พบได้พบกับวีนัส เธอเป็นคุณแม่จากประเทศแซมเบียครับ เธอมีลูก 3 คน และเธอเป็นแม่หม้าย ตอนที่ผมพบเธอนั้น เธอเดินเท้า มาเป็นระยะทาง 12 ไมลล์ ด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่เธอมี เข้ามาในเมืองหลวง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเธอ เธอนั่งลงคุยกับผมเป็นชั่วโมงๆ และนำผมเข้าไปรู้จักโลกของความยากจน เธออธิบายว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อถ่านไฟสำหรับการปรุงอาหาร ค่อยๆมอดดับไปในที่สุด เมื่อน้ำมันสำหรับทำอาหารหยดสุดท้ายหมดลง เมื่ออาหารที่เหลืออยู่ ที่แม้เธอจะพยายามอย่างที่สุด ได้หมดลงไป เธอต้องทนดูลูกชายคนเล็กสุดของเธอ ปีเตอร์ ทนทุกข์จากภาวะขาดสารอาหาร ขาของเขาค่อยๆ งอจนใช้การไม่ได้ ตาของเขาค่อยๆ พร่ามัวจนกระทั่งมืดบอด ในที่สุด ปีเตอร์ ก็จากไป มากกว่า 50 ปีแล้วนะครับ เรื่องราวแบบนี้ นำพาพวกเราไปสู่ความเห็นอกเห็นใจ พวกเรา ที่มีลูกๆ ที่มีอันจะกิน และพวกเราเคลื่อนไหวไม่เพียงแค่เพื่อ ให้ความสนใจเกี่ยวกับความยากจนโลก แต่พยายามอย่างแท้จริงที่จะทำหน้าที่ของเรา ในการหยุดยั้งความทุกข์ทรมาน ตอนนี้ มันมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับ การวิพากษ์วิจารณ์ที่พวกเรายังทำไม่มากพอ และสิ่งที่พวกเราได้กระทำมา ยังไม่มีประสิทธิผลเพียงพอ แต่ความจริงก็คือ การต่อสู้กับความยากจนโลก อาจจะเป็นเรื่องที่แพร่หลายที่สุด เป็นการรวมตัวกันทำงานที่ยาวที่สุดของ ปรากฏการณ์ความเมตตาของมนุษย์ ในประวัติศาสตร์ของสายพันธ์ของเรา และผมอยากที่จะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก ที่น่าสะเทือนใจมากเรื่องนึงครับ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนวิธีคิดของเรา เกี่ยวกับการต่อสู้นั้นไปตลอดกาล แต่ก่อนอื่น ขออนุญาตให้ผมได้เริ่ม จากเรื่องที่พวกคุณอาจจะรู้อยู่แล้วนะครับ 35 ปีก่อน ตอนที่ผมกำลังจะจบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พวกเขาบอกเราว่าในทุกๆวัน มีเด็กประมาณ 40,000 คนตายเพราะความยากจน ตัวเลขนั้น ปัจจุบันลดลงเหลือ 17,000 คน แน่นอนครับ ยังคงเยอะอยู่ดี แต่นั่นหมายความว่า ทุกๆปี มีเด็กประมาณแปดล้านคน ที่ไม่ต้องตายเพราะความยากจน ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนประชากรทั่วโลก ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ ด้วยความยากไร้อย่างที่สุด หรือดำรงชีวิตอยู่ด้วยรายได้ ประมาณ 1.25 ดอลล่าร์ ต่อวันนั้น ลดลงจากร้อยละ 50 เหลือเพียงแค่ร้อยละ 15 นี่เป็นความคืบหน้า ที่สำคัญมากๆนะครับ และมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ของทุกคนที่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ และผมคิดว่า พวกคุณและผม ผมคิดว่า อย่างจริงใจเลยนะครับ มันเป็นสิ่งที่ พวกเราสามารถรู้สึกภูมิใจได้ และมีกำลังใจ ที่จะเห็นหนทางที่ความเห็นอกเห็นใจ มีพลังอย่างแท้จริง ที่จะประสบความสำเร็จในการหยุดยั้ง ความทุกทรมานของคนหลายล้านคน แต่ นี่คือสิ่งที่พวกคุณอาจจะไม่ค่อยได้ยิน เกี่ยวกับมันเท่าไหร่นัก ถ้าคุณขยับเส้นแบ่งความยากจนขึ้น เป็นสองดอลล่าร์ต่อวัน จะเห็นว่า โดยแท้จริงแล้ว คนจำนวนสองพันล้านคนเดิม ที่เคยตกอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน เมื่อตอนผมอยู่ชั้นมัธยมปลาย ยังคงติดอยู่ที่เดิมครับ 35 ปีให้หลัง แล้วทำไมหล่ะครับ ทำไมคนจำนวนมากมาย เป็นพันล้านคนยังคงตกอยู่ในความยากจนนั้น เอาหล่ะ ลองพิจารณาถึงวีนัสกันสักครู่นะครับ เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วครับ ที่ผมและภรรยา ได้เคลื่อนไหวด้วยความเห็นอกเห็นใจแบบทั่วๆไป ให้การอุปการะเด็กๆ สนับสนุนเงินกู้ขนาดเล็ก สนับสนุนการช่วยเหลือระหว่างประเทศ ในหลากหลายระดับ แต่จนกระทั่งเมื่อผมได้คุยกับวีนัสจริงๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีวิธีการใดๆ เลยที่กล่าวมา ที่อธิบายได้อย่างแท้จริงว่าทำไม เธอถึงต้องทนดูลูกชายของเธอตาย "พวกเราสบายดีค่ะ" วีนัสบอกกับผม "จนกระทั่ง บรูตัส เริ่มสร้างปัญหา" บรูตัสเป็นเพื่อนเพื่อนบ้านของวีนัสครับ และ "สร้างปัญหา" หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากสามีของวีนัสตายหนึ่งวัน เมื่อบรูตัสเข้ามา และโยนวีนัสและลูกๆ ออกไปจากบ้าน ขโมยที่ดินทั้งหมด และปล้นเอาแผงขายของเธอและลูกๆไป เห็นไหมครับ วีนัสถูกโยน เข้าไปสู่ความแร้นแค้นด้วยความรุนแรง และมันก็ปรากฏกับผมว่า แน่นอนครับ ไม่มีการอุปการะเด็กของผมใดๆ ไม่มีการให้กู้ยืมขนาดเล็กใดๆ ไม่มีโครงการป้องกันความยากจนแบบดั้งเดิมใดๆ ที่นำไปสู่การหยุดยั้งบรูตัส เพราะกิจกรรมต่างๆเหล่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอย่างนั้นครับ เรื่องนี้ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อผมได้พบกับกริเซลด้า เธอเป็นเด็กสาวที่ยิ่งใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่ยากจนมาก ในกัวเตมาลา และสิ่งหนึ่งที่พวกเราได้เรียนรู้ ในเวลาหลายๆปี คือ บางทีสิ่งที่ทรงพลังที่สุด ที่กริเซลด้าและครอบครัวของเธอทำได้ เพื่อให้กริเซลด้าและครอบครัว พ้นจากความยากจน คือการทำให้เธอได้ไปโรงเรียนอย่างแน่นอน นักวิชาการเรียกสิ่งนี้ว่า ผลกระทบของเด็กผู้หญิง (Girl Effect) แต่ตอนที่พวกเราได้พบกริเซลด้า เธอไม่ได้ไปโรงเรียนครับ ในความเป็นจริง เธอแทบไม่ได้ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ หลายวันก่อนที่พวกเราจะพบกับเธอ ขณะที่เธอกำลังเดินกลับจากโบสถ์ เพื่อกลับบ้านพร้อมๆ กับครอบครัวของเธอ กลางวันแสกๆ พวกผู้ชายจากชุมชนของเธอนั่นแหละ ฉุดเธอไปจากถนน แล้วข่มขืนเธออย่างโหดร้าย เห็นไหมครับ กริเซลด้ามีโอกาสทุกๆอย่าง ที่จะได้ไปโรงเรียน เพียงแต่มันไม่ปลอดภัยในการเดินทาง และไม่ใช่กริเซลด้าเพียงคนเดียวครับ ทั่วโลก ผู้หญิงและเด็กหญิงที่ยากจน อายุระหว่าง 15-44 ปี พวกเธอ -- เมื่อผู้ตกเป็นเหยื่อ ของความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ของการละเมิดภายในประเทศ และความรุนแรงทางเพศ -- สองรูปแบบของการใช้ความรุนแรงเหล่านั้น เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและความพิการ มากยิ่งกว่ามาลาเรีย อุบัติเหตุทางรถยนต์ และสงครามรวมกัน ความจริงก็คือ กลุ่มคนยากจนในโลกของเรา ติดอยู่ในระบบของความรุนแรงทั้งหมด ยกตัวอย่างนะครับ ที่เอเชียใต้ ผมอาจจะขับรถผ่านโรงสีข้าว และเห็นผู้ชายแบกกระสอบข้าว หนักกว่า 100 ปอนด์ ไว้บนหลังบางๆ ของเขา แต่ผมอาจจะไม่รู้เลย จนกระทั่งภายหลัง ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นแรงงานทาส ถูกล่ามไว้ด้วยความรุนแรงที่โรงสีข้าวนั่น ตั้งแต่ผมยังเรียนมัธยมปลาย หลายทศวรรษของโครงการต่อต้านความยากจน ในชุมชนของเขา ไม่เคยสามารถช่วยเหลือเขา หรือแม้แต่ทาสคนอื่นๆอีกนับร้อย จากการถูกเฆี่ยนตี การข่มขืน และการทรมาน ของความรุนแรงภายในโรงสีข้าวได้เลย ในความเป็นจริง, ครึ่งศตวรรษ ของโครงการต่อต้านความยากจนต่างๆ ได้ละทิ้งคนจนจำนวนมากไว้ในระบบทาส มากกว่าช่วงเวลาใดๆ ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกกับพวกเราว่า ปัจจุบันมีคนประมาณ 35 ล้านคนอยู่ในระบบทาส นั่นเป็นจำนวนพอๆ กับจำนวนประชากร ชาวแคนาดาทั้งประเทศ ที่ซึ่งพวกเรานั่งอยู่ในวันนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไม ตลอดเวลา ผมจึงเรียกสิ่งนี้ว่า การแพร่ระบาดของความรุนแรง the Locust Effect - ผลกระทบของลูคลัส เนื่องจากในชีวิตของคนยากจน, มันเป็นเหมือนเช่นภัยพิบัติ และมันทำลายทุกๆอย่างครับ ในความเป็นจริง, เวลาที่คุณทำสำรวจ ชุมชนต่างๆของคนที่แสนยากจน ผู้อยู่อาศัยในชุมชนเหล่านั้นจะบอกคุณว่า พวกเขานั้นหวาดกลัวอย่างมากต่อความรุนแรง แต่พึงรู้ไว้นะครับว่า ความรุนแรงที่พวกเขาหวดหวั่นนั้น ไม่ใช่ความรุนแรงจากการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ หรือความรุนแรงจากสงครามต่างๆ แต่เป็นความรุนแรงในชีวิตประจำวัน สำหรับผมในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย แน่นอนครับ ปฏิกริยาแรกของผมคือการคิด เอาหล่ะ แน่นอนว่าเรา จะต้องแก้ไขกฎหมายทั้งหมด เราจะต้องทำให้ความรุนแรงต่อคนยากจน เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่แล้วผมก็พบว่า มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ปัญหาไม่ใช่ว่าคนยากจนไม่มีกฎหมายคุ้มครอง แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายครับ ในประเทศที่กำลังพัฒนา ระบบการบังคับใช้กฎหมายเบื้องต้นนั้น ใช้การไม่ได้ครับ เมื่อเร็วๆนี้ สหประชาชาติ ได้ออกรายงานชิ้นนึง ซึ่งพบว่า คนยากจนส่วนมากใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ ที่อยู่นอกเหนือการคุ้มครองของกฎหมาย ด้วยความสัตย์จริงครับ พวกคุณและผมนึกไม่ออกหรอกครับ ว่ามันหมายความว่าอะไร เพราะพวกเราไม่มีประสบการณ์ตรง เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ การบังคับใช้กฎหมายที่ทำได้จริงสำหรับพวกเรา คือสมมุติฐานทั้งหมด ที่จริง ไม่มีอะไรอธิบายสมมุติฐานเหล่านั้น ได้ชัดเจนมากไปกว่าตัวเลขสามตัวง่ายๆ 911 ซึ่ง, แน่นอนครับ, คือหมายเลขสำหรับ สายด่วนตำรวจฉุกเฉิน ของที่แคนาดานี้และของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งค่าเฉลี่ยของการรอสายเรียก ตำรวจฉุกเฉิน 911 คือประมาณ 10 นาที ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้ใส่ใจ เรีื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่จะเป็นอย่างไรครับ ถ้าไม่มี การบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องคุณ ผู้หญิงคนหนึ่งในโอเรกอน เพิ่งจะประสบเหตุการณ์ลักษณะนี้ครับ เธออยู่ในบ้านมืดๆเพียงคนเดียวในคืนวันเสาร์ เมื่อผู้ชายคนหนึ่ง เริ่มบุกเข้าไปในบ้านของเธอ มันเป็นฝันร้ายที่สุดของเธอครับ เพราะผู้ชายคนนี้ทำร้ายร่างกายเธอ จนต้องเข้าโรงพยาบาล เพียงแค่สองอาทิตย์ก่อนหน้านั้ น่าหวาดกลัวมากครับ เธอยกหูโทรศัพท์ และทำสิ่งที่พวกเราทุกๆคนพึงจะทำ เธอโทรเรียก 911 แต่เพียงเพื่อจะเรียนรู้ว่า เนื่องมาจาก การปรับลดงบประมาณในเขตของเธอ การบังคับใช้กฎหมาย ไม่สามารถมีได้ในวันหยุดครับ ฟังนะครับ เจ้าหน้าที่ : เราไม่มีใครจะส่งออกไปที่นั่นค่ะ ผู้หญิง : โอเค เจ้าหน้าที่ : อืม ถ้าหากว่าเขาเข้ามาภายใน บริเวณของคุณและลงมือทำร้ายคุณ คุณสามารถขอให้เขาออกไปได้ไหมคะ หรือคุณรู้ไหมคะว่าเขากำลังเมา หรืออะไรรึเปล่า ผู้หญิง : ฉันขอร้องเขาไปแล้วค่ะ และฉันก็บอกเขาไปแล้วด้วยว่าฉันกำลังโทรหาคุณ เขาเคยบุกเข้ามา พังประตูบ้านฉัน และทำร้ายฉัน เจ้าหน้าที่ : อืม ค่ะ ผู้หญิง : อืม ค่ะ แล้ว เจ้าหน้าที่ : มีทางไหนที่คุณจะสามารถ หลบออกมาอย่างปลอดภัยได้บ้างไหม ผู้หญิง : ไม่ค่ะ ฉันไม่สามารถ เพราะเขาขวางทางออกเดียวที่มีเอาไว้ เจ้าหน้าที่ : เอาล่ะ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ คือให้คำแนะนำบางอย่างแก่คุณ และโทรแจ้งที่ว่าการอำเภอพรุ่งนี้ ชัดเจนว่า ถ้าเขาเข้ามาข้างในบ้าน และโชคร้าย เขามีอาวุธ หรือพยายามที่จะทำอันตรายต่อร่างกายคุณ นั่นเป็นอีกเรื่องนึงนะคะ คุณทราบใช่ไหมว่าที่ว่าการอำเภอ ไม่เปิดทำการตอนนี้ ฉันไม่สามารถส่งใครออกไปได้ แกรี่ ฮูเก้น : เป็นที่สลดใจครับ ผู้หญิงในบ้านหลังนั้น ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง อุดปาก และข่มขืน เพราะว่านี่คือสิ่งที่หมายถึง การดำรงชีวิตอยู่นอกกฎหมาย และนี่คือที่ที่คนยากจนที่สุด เป็นพันล้านคนใช้ชีวิตอยู่ ฟังดูเป็นอย่างไรบ้างครับ ยกตัวอย่างนะครับ ที่โบลิเวีย ถ้าผู้ชายคนหนึ่งล่วงละเมิดทางเพศเด็กยากจน ตามสถิติแล้ว ความเสี่ยงที่เขา จะลื่นล้มในห้องน้ำแล้วเสียชีวิต มีมากกว่าการที่เขา จะถูกจำคุกจากอาชญกรรมนั้นเสียอีก ในเอเชียใต้ ถ้าคุณใช้แรงงานทาสคนยากจน ความเสี่ยงที่คุณจะถูกฟ้าผ่ามีมากกว่า ความเสี่ยงที่จะถูกจำคุกเพราะอาชญากรรมนั้น และ ดังนั้น การแพร่ระบาดของความรุนแรง ในชีวิตประจำวัน จึงยังดำเนินต่อไป และมันทำลายความพยายามของพวกเรา ในการพยายามช่วยเหลือคนกว่าพันล้านคน ให้พ้นจากนรกของการมีรายได้ เพียงสองดอลล่าร์ต่อวัน เพราะข้อมูลไม่เคยโกหก มันเผยให้เห็นว่า พวกคุณสามารถให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบริการ แก่คนยากจน แต่ถ้าพวกคุณยังไม่ยับยั้งมือของพวกคนพาล จากการแย่งชิงของทั้งหมดไป พวกคุณจะต้องผิดหวังอย่างมากจากผลกระทบ ในระยะยาวของความทุ่มเทของพวกคุณ ดังนั้น พวกคุณอาจจะคิดว่าการกระจัดกระจาย ของการบังคับใช้กฎหมายพื้นฐาน ในประเทศที่กำลังพัฒนา จัดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับการต่อต้านความยากจนโลก แต่มันไม่ใช่แบบนั้นครับ ผู้ตรวจสอบบัญชีความช่วยเหลือระหว่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่สามารถค้นหา แม้เพียงหนึ่งเปอร์เซนต์ของความช่วยเหลือ ที่นำไปสู่การปกป้องคนจน จากความวุ่นวายอันปราศจากกฏหมาย ของความรุนแรงในชีวิตประจำวัน และด้วยความสัตย์จริงครับ เมื่อพวกเราพูดถึงความรุนแรงที่มีต่อคนยากจน บางครั้ง มันฟังดูเป็นวิธีการ ที่แปลกประหลาดที่สุด องค์กรน้ำดื่มสะอาดบอกเล่าเรื่องราวบีบหัวใจ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกข่มขืน ระหว่างทางไปบรรทุกน้ำ และเฉลิมฉลองการแก้ปัญหา ด้วยการสร้างบ่อน้ำแห่งใหม่ ที่ลดระยะทางการเดินทางของพวกเขาลงอย่างมาก จบครับ แต่ไม่มีคำใดๆ เอ่ยถึงพวกที่ลงมือข่มขืนเธอ ที่ยังคงอยู่ในชุมชนนั้น ถ้ามีเด็กสาวสักคนในวิทยาลัยของพวกเรา ถูกข่มขืนระหว่างเดินทางไปห้องสมุด เราคงจะไม่มีวันยกย่องการแก้ปัญหาด้วยการ ย้ายห้องสมุดมาไว้ใกล้กับหอพักมากขึ้นใช่ไหมครับ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนยากจน ความจริงตอนนี้ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญหัวเก่า ในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ และการบรรเทาความยากจน พวกเขาไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร แล้วอะไรเกิดขึ้นครับ พวกเขาเลยไม่พูดถึงมัน แต่เหตุผลที่เป็นพื้นฐานมากกว่านั้น คือการบังคับใช้กฎหมายสำหรับคนยากจน ในประเทศกำลังพัฒนา ถูกละเลยอย่างมาก เพราะว่าผู้คนในประเทศ กำลังพัฒนาที่มีเงิน ไม่ต้องการมัน ผมไปร่วมงานประชุม สภาเศรษฐกิจโลกเมื่อไม่นานมานี้ ได้พูดคุยกับผู้บริหารองค์กรระดับสูงที่มี ธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนา แล้วผมก็ถามพวกเขาว่า "พวกคุณปกป้องประชาชนและทรัพย์สินทั้งมวล จากความรุนแรงทั้งหมดอย่างไร" พวกเขามองหน้ากัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เราซื้อมัน" แน่นอนที่สุดครับ กองกำลัง รักษาความปลอดภัยส่วนตัวในประเทศกำลังพัฒนา ในปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่ากองกำลัง ตำรวจสาธารณะถึงสี่ ห้า และเจ็ดเท่า ในแอฟริกา ผู้จ้างงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในทวีปคือบริษัทรักษาความปลอดภัยส่วนตัว แต่เห็นไหมครับ คนรวยสามารถจ่ายเงิน เพื่อซื้อความปลอดภัย และยิ่งรวยขึ้นๆ แต่คนยากจนไม่สามารถจ่ายเงินซื้อได้ และ ถูกทิ้งไว้โดยปราศจากการปกป้องอย่างสิ้นเชิง และพวกเขายังคงถูกทอดทิ้งไว้ นี่คือความชั่วร้ายขนาดใหญ่และอื้อฉาว แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแบบนี้ครับ การบังคับใช้กฏหมายที่บกพร่อง สามารถแก้ไขได้ ความรุนแรงสามารถหยุดยั้งได้ เกือบทุกระบบยุติธรรมทางอาญา ล้วนเริ่มต้นอย่างไม่สมบูรณ์และไม่โปร่งใส แต่มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความพยามยามอย่างแรงกล้าและความมุ่งมั่น หนทางข้างหน้านั้นชัดเจนมากครับ อันดับแรก พวกเราจะต้องเริ่มต้นลงมือ หยุดยั้งความรุนแรงเพื่อต่อสู้ กับความยากจนอย่างหยุดไม่ได้ อันที่จริง บทสนทนาใดๆ ที่เกี่ยวกับความยากจนของโลก ที่ไม่ได้รวมปัญหาเรื่องความรุนแรงเอาไว้ จะต้องไม่ให้ความสำคัญมากนัก และลำดับที่สองครับ เราจะต้องเริ่มต้น ลงทุนในทรัพยากรต่างๆอย่างจริงจัง และแบ่งปันความเชี่ยวชาญ เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ในขณะที่พวกเขาสร้าง ระบบยุติธรรมสาธารณะแบบใหม่ ที่ไม่ใช่การรักษาความปลอดภัยส่วนตัว แต่ให้โอกาสทุกๆคน ที่จะได้รับความปลอดภัย การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ สามารถเป็นไปได้จริง และมันกำลังเกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อเร็วๆนี้ครับ มูลนิธิเกตต์ ได้ให้เงินสนับสนุนโครงการหนึ่ง ในเมืองที่ใหญ่ที่สุด เป็นอันดับที่สองของฟิลิปปินส์ ที่ซึ่งความช่วยเหลือท้องถิ่น และการบังคับใช้กฏหมายท้องถิ่น สามารถเปลี่ยนแปลงตำรวจกังฉิน และกระบวนการทางศาลที่บกพร่องได้อย่างมาก ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสี่ปี พวกเขาสามารถวัดการลดลง ของจำนวนโฆษณาเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ ที่กระทำต่อเด็กยากจนถึงร้อยละ 79 พวกคุณทราบไหมครับว่า จากภายหลังของประวัติศาตร์ อะไรคือสิ่งที่อธิบายไม่ได้มากที่สุด และอภัยไม่ได้มากที่สุดเสมอมา มันคือความล้มเหลวง่ายๆ ของความเห็นอกเห็นใจครับ เพราะผมคิดว่าประวัติศาสตร์นำไปสู่ การพิพากษาของลูกหลานของเรา และพวกเขาเพียงถามเรา คุณยาย คุณตาครับ พวกคุณอยู่ที่ไหน คุณตาอยู่ที่ไหนครับ ตอนที่พวกยิว หลบหนีจากกองทัพนาซีของเยอรมัน แล้วโดนปฏิเสธจากชายฝั่งของพวกเรา พวกคุณอยู่ที่ไหนครับ แล้วคุณยายอยู่ที่ไหนครับ ตอนที่พวกเขาต้อน เพื่อนบ้านชาวญี่ปุ่น-อเมริกันของเรา ไปยังค่ายกักกัน คุณตาอยู่ที่ไหนครับ ตอนที่พวกเขาซ้อม เพื่อนบ้านชาวอเมริกัน-แอฟริกันของเรา เพียงเพราะพวกเขาพยายาม ที่จะลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียง เช่นเดียวกันครับ เมื่อลูกหลานถามเรา คุณตา คุณยาย พวกคุณอยู่ที่ไหนคะ/ครับ ตอนที่คนยากจนที่สุดในโลกกว่าสองพันล้านคน กำลังจมลงไปในความอลหม่านที่ปราศจากกฏหมาย ของการใช้ความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถตอบได้ว่า พวกเรามีความเห็นอกเห็นใจ ด้วยการออกเสียง และรุ่นของพวกเรา ได้เคลื่อนไหวเพื่อจะยุติความรุนแรง ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ) คริส แอนเดอร์สัน : ข้อเสนอที่ทรงพลังอย่างแท้จริงครับ ช่วยเล่าให้พวกเราฟังนิดนึงครับ เกี่ยวกับบางเรื่อง ที่กำลังเกิดขึ้น อย่างเช่น การเพิ่มการฝึกอบรมตำรวจ กระบวนการมีความยากอย่างไรบ้างครับ แกรี่ ฮูเก้น : ครับ หนึ่งในสิ่งที่น่าชื่นชม ที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ คือการล่มสลายของระบบต่างๆ เหล่านี้ และผลของมันกำลังจะเห็นได้อย่างชัดเจน อันที่จริง ขณะนี้ ฝ่ายการเมืองต้องการที่จะทำอย่างนั้น มันเพียงแต่ต้องการการลงทุนในทรัพยากร และการถ่ายโอนความเชี่ยวชาญ มีการต่อสู้ทางการเมือง ที่กำลังจะเกิดขึ้นเช่นกัน แต่เป็นการต่อสู้ที่สามารถชนะได้ เนื่องจากเราได้แสดงตัวอย่างแล้ว จำนวนหนึ่งทั่วโลก เช่นที่ภารกิจความยุติธรรมระหว่างประเทศ (IJM) ซึ่งได้รับการกระตุ้นอยากมาก คริส แอนเดอร์สัน: บอกได้ไหมครับว่าในหนึ่งประเทศ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ในการสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนในระบบตำรวจ อันนี้ยกตัวอย่างนะครับ ผมรู้ว่านี่มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวเท่านั้น แกรี่ ฮูเก้น : ยกตัวตัวอย่างนะครับ ที่กัวเตมาลา เราได้เริ่มโครงการหนึ่งที่นั่น ร่วมกับตำรวจท้องที่ ระบบศาล และอัยการ ในการฝึกฝนพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถ ดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง และเราได้เห็นการฟ้องร้องต่อ ผู้กระทำผิดในคดีความรุนแรงทางเพศ เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 เปอร์เซ็นต์ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนพอสมควรนะครับ ประมาณล้านดอลลาร์ต่อปี แต่มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุน ในแง่ของการใช้ประโยชน์ จากระบบยุติธรรมทางอาญา ที่สามารถทำงานได้ ถ้าได้รับการฝึก จูงใจ และนำทางอย่างเหมาะสม และประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกลาง ที่กำลังมองว่า มันไม่มีอนาคตเลย ด้วยความไม่แน่นอนโดยรวม และการแปรรูปความมั่นคงให้เป็นธุรกิจแบบเบ็ดเสร็จ ผมคิดว่ามันยังมีโอกาส มีช่องทางสำหรับการเปลี่ยนแปลง คริส แอนเดอร์สัน : แต่เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คุณต้องมองไปที่แต่ละส่วนของห่วงโซ่ ตำรวจ ใครอีกครับ แกรี่ ฮูเก้น : ครับ มันมีบางสิ่ง เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย มันเริ่มต้นที่ตำรวจ พวกเขาเป็นด่านหน้า ของท่อส่งของความยุติธรรม แต่พวกเขาส่งต่อมัน ไปสู่มือของพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการ ก็นำไปมอบให้กับศาล และผู้รอดจากความรุนแรงทั้งหลายจำเป็น ต้องได้รับการสนับสนุนจากงานสังคมสงเคราะห์ ตลอดระยะเวลาของกระบวนการ ดังนั้น พวกคุณจะต้องทำกลยุทธ์ ที่จะดึงพวกเขาทั้งหมดมารวมกันไว้ ในอดีต มันมีการฝึกอบรมเล๋็กน้อย เกี่ยวกับศาล แต่พวกเขาได้หลักฐานที่เส็งเคร็ง จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือการแทรกแซงเล็กๆจากตำรวจ ในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและการก่อการร้าย แต่ไม่มีเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อคนยากจนธรรมดา ด้วยการบังคับใช้กฏหมายที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นครับ มันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดึงคน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามารวมกัน แล้วคุณจึงจะสามารถ ทำให้คนจากชุมชนที่ยากจนมากๆ ทั้งหลาย ได้รับประสบการณ์การบังคับใช้กฏหมาย แบบเดียวกับพวกเรา ซึ่งแน่นอนครับ จากประสบการณ์ ของพวกเราเองมันก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่คุณครับ มันเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมครับ ที่ได้รู้สึกว่า คุณสามารถโทรหา 911 แล้วอาจจะใครสักคนมาปกป้องคุณ คริส แอนเดอร์สัน : แกรี่ ผมคิดว่าคุณได้ทำสิ่งที่น่าประทับใจ ในการนำประเด็นนี้มาสู่ความสนใจของโลก ในหนังสือของคุณ และที่นี่ วันนี้ ขอบคุณมากครับ แกรี่ ฮูเก้นครับ (เสียงปรบมือ)