WEBVTT 00:00:01.357 --> 00:00:04.406 คุณคงเคยได้ยินเรื่องไอคิว ซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาดโดยทั่วไป 00:00:04.406 --> 00:00:05.902 เเล้วถ้าเป็น Psy-Q ล่ะ? 00:00:05.902 --> 00:00:08.109 คุณรู้มากน้อยเเค่ไหน ว่าอะไรทำให้เราเป็นแบบนั้น 00:00:08.109 --> 00:00:10.614 เราเก่งเเค่ไหน ในการเดาพฤติกรรมคนอื่น 00:00:10.614 --> 00:00:12.070 หรือเเม้เเต่ของตัวเราเอง 00:00:12.070 --> 00:00:15.159 และเราเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา ผิดไปแค่ไหน 00:00:15.159 --> 00:00:18.947 เรามาค้นหาคำตอบกัน โดยการนับถอยหลัง เรื่องเข้าใจผิด 10 เรื่องด้านจิตวิทยา NOTE Paragraph 00:00:18.947 --> 00:00:21.833 เราคงเคยได้ยินมาว่า เมื่อกล่าวถึงจิตวิทยา 00:00:21.833 --> 00:00:24.975 มันเหมือนกับว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร เเละผู้หญิงมาจากดาวศุกร์จริง ๆ 00:00:24.975 --> 00:00:27.264 เเต่ความจริงแล้วชาย-หญิงต่างกันแค่ไหน 00:00:27.264 --> 00:00:29.518 เเละเพื่อหาคำตอบ เราจะเริ่มโดยการดูอะไรสักอย่าง 00:00:29.518 --> 00:00:31.495 ที่ผู้ชายเเละผู้หญิงเเตกต่างกันจริง ๆ 00:00:31.495 --> 00:00:34.943 เเละพลอตกราฟที่เเสดงถึง ความเเตกต่าง ระหว่างเพศ โดยใช้หน่วยเดียวกัน 00:00:34.943 --> 00:00:37.116 สิ่งหนึ่งที่ชายเเละหญิง ต่างกันจริง ๆ 00:00:37.116 --> 00:00:38.913 ก็คือ ความสามารถในการขว้างลูกบอล 00:00:38.913 --> 00:00:40.803 ฉะนั้น ถ้าเรามาดูตัวเลข ของผู้ชายตรงนี้ 00:00:40.803 --> 00:00:43.274 เราจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า กราฟการเเจกเเจงเเบบปกติ 00:00:43.274 --> 00:00:46.482 ชายจำนวนไม่เยอะ โยนบอลได้ไกลมาก เเละอีกจำนวนน้อย ก็โยนได้ไม่ไกลเลย 00:00:46.482 --> 00:00:48.252 เเต่ส่วนมาก โยนได้ปานกลาง 00:00:48.252 --> 00:00:50.416 สัดส่วนผู้หญิง ก็เหมือนกัน 00:00:50.416 --> 00:00:52.465 เเต่จริง ๆ มีความต่างกันมาก 00:00:52.465 --> 00:00:54.533 จริง ๆ ผู้ชายโดยเฉลี่ย 00:00:54.533 --> 00:00:56.620 สามารถโยนบอลได้ไกลกว่า 98% ของผู้หญิงทั้งหมด 00:00:56.620 --> 00:00:59.647 ทีนี้เราจะมาดู ความต่างระหว่างเพศ ทางจิตวิทยา 00:00:59.647 --> 00:01:02.504 ว่าเป็นอย่างไร โดยใช้หน่วยมาตรฐานเดียวกัน 00:01:02.504 --> 00:01:04.090 นักจิตวิทยาจะบอกเราว่า 00:01:04.090 --> 00:01:06.635 ชายมีสำนึกเรื่องการกะระยะดีกว่าหญิง 00:01:06.635 --> 00:01:09.373 เช่น การดูแผนที่เป็นต้น ซึ่งเป็นจริง 00:01:09.373 --> 00:01:11.863 แต่เรามาดูว่ามีความต่างกันแค่ไหน 00:01:11.863 --> 00:01:15.250 น้อยนิดเดียว เส้นชิดกันจนเกือบตรงกัน 00:01:15.250 --> 00:01:19.244 จริง ๆ แล้ว หญิงโดยเฉลี่ย เก่งกว่าชาย 33% 00:01:19.244 --> 00:01:21.125 และถ้าเลขนั้นขยับเป็น 50% 00:01:21.125 --> 00:01:23.181 ทั้งสองเพศ ก็เกือบจะเท่ากันเป๊ะ 00:01:23.181 --> 00:01:26.839 ให้สังเกตว่า ความต่างนี้และอันหน้า ที่จะแสดง 00:01:26.839 --> 00:01:29.664 เป็นความแตกต่างทางเพศ ที่มากที่สุด 00:01:29.664 --> 00:01:31.101 ที่เคยพบ ในสาขาจิตวิทยา 00:01:31.101 --> 00:01:32.212 ครับ นี้เป็นอันต่อไป 00:01:32.212 --> 00:01:34.650 นักจิตวิทยาจะบอกว่า หญิงเก่งกว่า 00:01:34.650 --> 00:01:36.315 ในเรื่องภาษาและไวยากรณ์ 00:01:36.315 --> 00:01:38.904 และนี่เป็นคะแนนสอบไวยากรณ์มาตรฐาน 00:01:38.904 --> 00:01:40.861 นั่นของผู้หญิง และนั่นของชาย 00:01:40.861 --> 00:01:43.250 ใช่อีก หญิงเก่งกว่าโดยเฉลี่ย 00:01:43.250 --> 00:01:44.560 แต่ใกล้กันมาก 00:01:44.560 --> 00:01:47.807 ชายถึง 33% ก็ยังเก่งกว่าหญิงเฉลี่ย 00:01:47.807 --> 00:01:49.720 และอีกที ถ้าเลขนั้นขยับเป็น 50% 00:01:49.720 --> 00:01:52.462 ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศเลย 00:01:52.462 --> 00:01:54.583 ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องดาวอังคาร ดาวศุกร์ 00:01:54.583 --> 00:01:56.820 แต่เป็นเรื่องขนมมาร์ส และสนิกเกอร์ 00:01:56.820 --> 00:02:00.820 มันก็เหมือนกัน แค่อีกอันถั่วหน่อยแค่นั้น NOTE Paragraph 00:02:00.820 --> 00:02:05.059 ตอนทำเค้ก คุณชอบใช้ตำราอาหารที่มีรูปไหม 00:02:05.059 --> 00:02:06.829 ครับ มีบ้าง 00:02:06.829 --> 00:02:09.379 หรือชอบให้เพื่อนบอก 00:02:09.379 --> 00:02:12.172 หรือว่า เริ่มลองทำ ลองผิดลองถูกไป 00:02:12.172 --> 00:02:13.304 มีหลายคน 00:02:13.304 --> 00:02:15.274 โอเค ถ้าใครเลือกข้อแรก 00:02:15.274 --> 00:02:17.496 นั่นหมายความว่าเราเรียนรู้โดยใช้ตา 00:02:17.496 --> 00:02:20.664 และเรียนได้ดีทีสุด เมื่อข้อมูลเห็นได้ทางตา 00:02:20.664 --> 00:02:23.226 ถ้าเลือกข้อ 2 นั่นหมายความว่า เราเรียนรู้ทางหู 00:02:23.226 --> 00:02:27.206 และเรียนรู้ได้ดี เมื่อมีข้อมูลเป็นเสียง 00:02:27.206 --> 00:02:30.309 ถ้าเลือกข้อ 3 นั่นหมายถึง เราเรียนรู้ทางการสัมผัส 00:02:30.309 --> 00:02:33.107 และเราเรียนได้ดี เมื่อต้องทำอะไรด้วยมือ NOTE Paragraph 00:02:33.107 --> 00:02:35.365 ยกเว้นเรื่อง ... คงจะเดาออกแล้วว่า 00:02:35.365 --> 00:02:38.030 ไม่ได้หมายเช่นนั้น เพราะว่า มันเป็นแค่เรื่องพูดต่อ ๆ กัน 00:02:38.030 --> 00:02:42.658 สไตล์การเรียนรู้ เป็นเรื่องกุขึ้น ที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ทางวิทยาศาสตร์ 00:02:42.658 --> 00:02:45.538 เรารู้ได้ เพราะว่า ในงานทดลอง ที่ควบคุมอย่างเข้มงวด 00:02:45.538 --> 00:02:48.139 ที่มีการให้ประเด็นการศึกษา 00:02:48.139 --> 00:02:50.479 ในสไตล์ที่ตนชอบ หรือตรงกันข้าม 00:02:50.479 --> 00:02:54.125 การจำข้อมูลได้ ไม่มีความแตกต่างเลย 00:02:54.125 --> 00:02:56.281 และถ้าลองพิจารณาสักครู่หนึ่ง 00:02:56.281 --> 00:02:58.409 ก็จะเห็นชัดว่า นี้ต้องเป็นจริง 00:02:58.409 --> 00:03:00.961 มันชัดเจนว่า วิธีการแสดงข้อมูลที่ดีที่สุด 00:03:00.961 --> 00:03:04.024 ไม่ได้ขึ้นอยู่กันเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังศึกษาอะไร 00:03:04.024 --> 00:03:06.296 ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนขับรถได้ไหม 00:03:06.296 --> 00:03:08.364 โดยแค่ฟังว่า เราต้องทำอะไร 00:03:08.364 --> 00:03:10.679 โดยไม่ต้องจับอะไรเลย 00:03:10.679 --> 00:03:12.848 แล้วเราแก้สมการหลายชั้น ได้หรือไม่ 00:03:12.848 --> 00:03:15.304 โดยคิดแต่ในหัว โดยไม่ต้องเขียนอะไร 00:03:15.304 --> 00:03:17.765 สามารถผ่านการสอบทางสถาปัตย์ได้หรือไม่ 00:03:17.765 --> 00:03:20.108 โดยใช้วิธีการเต้นรำ ถ้าคุณเรียนรู้โดยการสัมผัส 00:03:20.108 --> 00:03:23.089 ไม่ได้ เราต้องจับคู่สิ่งที่จะศึกษา 00:03:23.089 --> 00:03:24.551 กับวิธีให้ข้อมูล 00:03:24.551 --> 00:03:27.069 ไม่ใช่กับเรา NOTE Paragraph 00:03:27.069 --> 00:03:29.180 ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย 00:03:29.180 --> 00:03:30.988 ซึ่งพึ่งจะได้ผลการสอบ GCSE 00:03:30.988 --> 00:03:34.119 และถ้าไม่ได้คะแนนตามเป้าหมาย 00:03:34.119 --> 00:03:36.110 คุณโทษสไตล์การเรียนตัวเองไม่ได้หรอก 00:03:36.110 --> 00:03:38.724 แต่คุณอาจหันไปโทษยีนของคุณได้ 00:03:38.724 --> 00:03:42.702 เรื่องนี้มีอยู่ว่า งานวิจัยเร็ว ๆ นี้ ที่ University College London 00:03:42.702 --> 00:03:44.786 พบว่า ผลแตกต่างที่ได้ประมาณ 58% 00:03:44.786 --> 00:03:49.522 ระหว่างนักเรียน ในเรื่องผลสอบ GCSE 00:03:49.522 --> 00:03:51.804 มาจากปัจจัยทางกรรมพันธุ์ 00:03:51.804 --> 00:03:54.350 ตัวเลขนั้นฟังดูแม่นยำมาก แล้วรู้ได้อย่างไร 00:03:54.350 --> 00:03:56.355 คือเมื่อเราต้องการที่จะแยกปัจจัย 00:03:56.355 --> 00:03:59.316 ที่มาจากยีนหรือจากสิ่งแวดล้อมออกจากกัน 00:03:59.316 --> 00:04:01.804 เราจะศึกษาเด็กแฝด 00:04:01.804 --> 00:04:05.292 แฝดเหมือนจะอยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่เหมือนกัน 100% 00:04:05.292 --> 00:04:08.068 และมียีนเหมือนกัน 100% 00:04:08.068 --> 00:04:11.090 ส่วนแฝดต่าง จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกัน 100% 00:04:11.090 --> 00:04:14.332 แต่เหมือนกับพี่น้องทั่วไป จะมียีนเหมือนกันเพียง 50% 00:04:14.332 --> 00:04:18.343 ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบผลสอบ GCSE ของแฝดเหมือน 00:04:18.343 --> 00:04:20.835 กับแฝดต่าง 00:04:20.835 --> 00:04:22.671 แล้วคิดเลขเจ๋ง ๆ สักหน่อย 00:04:22.671 --> 00:04:26.192 เราก็จะแยกได้ว่า ผลการสอบที่ออกมา มีเหตุจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเท่าไร 00:04:26.192 --> 00:04:28.188 และมาจากปัจจัยเรื่องยีนเท่าไร 00:04:28.188 --> 00:04:32.549 ซึ่งผลก็คือประมาณ 58% มาจากยีน 00:04:32.549 --> 00:04:36.128 นี่ไม่ได้หมายความว่างานหนัก ที่คุณกับครูลงมือลงแรงไม่สำคัญนะครับ 00:04:36.128 --> 00:04:38.654 ถ้าผล GCSE ออกมาไม่ได้อย่างที่คุณต้องการ 00:04:38.654 --> 00:04:41.068 คุณก็หันไปโทษพ่อแม่ 00:04:41.068 --> 00:04:43.625 หรืออย่างน้อย ก็ยีนของพ่อแม่ได้ NOTE Paragraph 00:04:43.625 --> 00:04:45.043 แต่สิ่งที่ไม่ควรโทษ 00:04:45.043 --> 00:04:47.576 ก็คือ การเป็นคนที่เรียนรู้ ด้วยสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา 00:04:47.576 --> 00:04:50.123 เพราะว่าอันนี้ก็พูดต่อ ๆ กันมาเหมือนกัน 00:04:50.123 --> 00:04:52.949 สิ่งที่พูดกันก็คือ สมองซ้ายมีเหตุผล 00:04:52.949 --> 00:04:54.982 เก่งในการแก้สมการเช่นนี้ 00:04:54.982 --> 00:04:58.611 และสมองขวา มีความคิดสร้างสรรค์ จึงเก่งกว่าในด้านดนตรี 00:04:58.611 --> 00:05:00.483 แต่นี่ก็เป็นตำนานเรื่องเล่าเหมือนกัน 00:05:00.483 --> 00:05:02.543 เพราะแทบทุกอย่างที่เราทำ 00:05:02.543 --> 00:05:04.632 ต้องอาศัยแทบทุกส่วนในสมอง ติดต่อประสานงานกัน 00:05:04.632 --> 00:05:08.052 แม้แต่เรื่องธรรมดาที่สุด เช่น คุยกันธรรมดา ๆ 00:05:08.052 --> 00:05:11.575 แต่เหตุที่เรื่องนี้ยังพูดกันอยู่ 00:05:11.575 --> 00:05:14.087 ก็เพราะว่ามีความจริงบ้างเล็กน้อย 00:05:14.087 --> 00:05:16.057 มีอีกเรื่องที่เกี่ยวกันคือ 00:05:16.057 --> 00:05:18.060 คนถนัดซ้ายคิดสร้างสรรค์ ดีกว่าคนถนัดขวา 00:05:18.060 --> 00:05:21.104 ซึ่งเหมือนมีเหตุผล เพราะว่า สมองควบคุมมือ ด้านละข้าง 00:05:21.104 --> 00:05:23.875 ดังนั้น ในคนถนัดซ้าย สมองขวาจะทำงานมากกว่า 00:05:23.880 --> 00:05:26.427 สมองซ้าย 00:05:26.448 --> 00:05:29.155 และแนวคิดก็คือ สมองขวาสร้างสรรค์ดีกว่า 00:05:29.157 --> 00:05:32.330 แต่ว่า นี่ไม่จริงโดยตรง ว่าคนถนัดซ้ายมีความคิดสร้างสรรค์กว่า 00:05:32.330 --> 00:05:33.661 คนถนัดขวา 00:05:33.661 --> 00:05:36.156 เรื่องที่จริงก็คือ คนถนัดสองมือ 00:05:36.156 --> 00:05:39.634 หรือคนที่ใช้ทั้งสองมือ ในการทำสิ่งต่าง ๆ 00:05:39.634 --> 00:05:42.921 มีความคิดสร้างสรรค์ ดีกว่าคนถนัดมือเดียว 00:05:42.921 --> 00:05:44.729 เพราะว่า จะถนัดสองมือได้ 00:05:44.729 --> 00:05:47.439 สมองสองข้างต้องสื่อสารระหว่างกันมาก 00:05:47.439 --> 00:05:51.285 ซึ่งดูเหมือนจะมีบทบาท ในการสร้างความคิดที่ยืดหยุ่นได้ 00:05:51.285 --> 00:05:53.350 เรื่องคนถนัดซ้ายมีความคิดสร้างสรรค์ 00:05:53.350 --> 00:05:54.958 มาจากความจริงว่าคนถนัดซ้าย 00:05:54.958 --> 00:05:57.505 ใช้สองมือได้มากกว่าคนถนัดขวา 00:05:57.505 --> 00:06:00.804 ความเชื่อนี้จึงมีความจริงปนอยู่นิดหน่อย 00:06:00.804 --> 00:06:03.497 แต่ไม่มาก NOTE Paragraph 00:06:03.497 --> 00:06:05.518 ความเชื่อประมาณนี้ที่คุณอาจเคยได้ยิน 00:06:05.518 --> 00:06:07.461 คือ เราใช้เพียงแค่ 10% ของสมอง 00:06:07.461 --> 00:06:09.397 นี่เป็นเพียงความเชื่อปรัมปรา 00:06:09.397 --> 00:06:11.826 ทุกอย่างที่เราทำ แม้เรื่องธรรมดาที่สุด 00:06:11.826 --> 00:06:15.289 ใช้เกือบทุกส่วนในสมองของเรา NOTE Paragraph 00:06:15.289 --> 00:06:18.050 แม้เป็นเช่นนี้ แต่ก็จะต้องกล่าวด้วยว่า 00:06:18.050 --> 00:06:22.300 เราส่วนมากใช้สมองได้ ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร 00:06:22.300 --> 00:06:24.736 แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อเพิ่มพลังสมอง 00:06:24.736 --> 00:06:27.194 บางที เราอาจจะควรฟังดนตรีของโมซาร์ท 00:06:27.194 --> 00:06:29.812 เคยได้ยินเรื่องปรากฏการณ์โมซาร์ทไหม 00:06:29.812 --> 00:06:33.109 เป็นแนวคิดที่ว่า ฟังดนตรีโมซาร์ทแล้วจะทำให้ฉลาดขึ้น 00:06:33.109 --> 00:06:35.318 และผลคะแนนทดสอบไอคิวจะสูงขึ้น 00:06:35.318 --> 00:06:37.473 ก็อีกแหละความเชื่อนี้น่าสนใจตรงที่ 00:06:37.473 --> 00:06:41.063 ก็คือ แม้ว่าจะเป็นเพียงความเชื่อ แต่ก็มีความจริงแฝงนิดหน่อย 00:06:41.063 --> 00:06:43.528 งานศึกษาดั้งเดิมพบว่า 00:06:43.528 --> 00:06:46.819 คนที่ฟังดนตรีโมซารท์ก่อนเป็นเวลา 2-3 นาที ก่อนทำการทดสอบไอคิว 00:06:46.819 --> 00:06:48.458 จะทำคะแนนได้ดีกว่า 00:06:48.458 --> 00:06:52.031 ผู้ทดสอบที่นั่งอยู่เงียบ ๆ 00:06:52.031 --> 00:06:55.438 แต่งานศึกษาติดตามต่อมา ทดสอบคนที่ชอบดนตรีโมซาร์ท 00:06:55.438 --> 00:06:57.196 และคนอีกลุ่มหนึ่ง 00:06:57.196 --> 00:06:59.724 ที่เป็นแฟนนิยายสยองขวัญ ของสตีเฟน คิง 00:06:59.724 --> 00:07:03.698 โดยให้ฟังดนตรี หรือฟังนิยาย 00:07:03.698 --> 00:07:06.186 คนที่ชอบดนตรีโมซารท์มากกว่านิยาย 00:07:06.186 --> 00:07:08.927 ได้คะแนนเมื่อฟังดนตรี ดีกว่าเมื่อฟังนิยาย 00:07:08.927 --> 00:07:11.565 แต่คนที่ชอบนิยายมากกว่าดนตรี 00:07:11.565 --> 00:07:14.162 ก็ทำคะแนนได้ดีขึ้น เมื่อฟังนิยายของสตีเฟน คิง 00:07:14.162 --> 00:07:15.767 ดีกว่าเมื่อฟังดนตรี 00:07:15.767 --> 00:07:18.920 ดังนั้น ความจริงก็คือ การฟังสิ่งที่เราชอบฟัง 00:07:18.920 --> 00:07:22.101 จะกระตุ้นเราหน่อยหนึ่ง และเพิ่มระดับไอคิวชั่วคราว 00:07:22.101 --> 00:07:23.938 ในงานเฉพาะบางอย่าง 00:07:23.938 --> 00:07:25.936 ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า การฟังดนตรีโมซาร์ท 00:07:25.936 --> 00:07:28.131 หรือแม้แต่ฟังนิยายของสตีเฟน คิง 00:07:28.131 --> 00:07:32.503 จะทำให้เราฉลาดขึ้นในระยะยาว NOTE Paragraph 00:07:32.503 --> 00:07:35.263 ความเชื่อเรื่องการฟังโมซาร์ทอีกเรื่องนึง 00:07:35.263 --> 00:07:39.461 คือการฟังโมซาร์ทไม่เพียงทำให้คุณฉลาดขึ้น อย่างเดียว แต่ทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย 00:07:39.461 --> 00:07:41.299 แย่หน่อยที่อันนี้ก็ไม่จริง 00:07:41.299 --> 00:07:44.168 สำหรับคนที่ฟังดนตรีโมซาร์ททุก ๆ วัน 00:07:44.168 --> 00:07:46.156 เช่น ตัวโมซาร์ทเอง 00:07:46.156 --> 00:07:48.786 ก็ทนทุกข์กับโรคหนองใน ฝีดาษ ข้ออักเสบ 00:07:48.786 --> 00:07:54.238 และโรคที่เชื่อกันว่าคร่าชีวิตของเขา คือซิฟิลิส 00:07:54.238 --> 00:07:57.562 นี่แสดงว่าโมซาร์ทน่าจะระมัดระวังสักหน่อย 00:07:57.562 --> 00:07:59.770 เมื่อเลือกคู่นอน 00:07:59.770 --> 00:08:01.749 แล้วเราล่ะ เลือกคู่กันอย่างไร NOTE Paragraph 00:08:01.749 --> 00:08:05.855 ความเชื่อนี้ เป็นเรื่องที่นักสังคมวิทยาคุยกัน 00:08:05.855 --> 00:08:09.248 คือเราเลือกคู่รักอย่างไรนั้น ขึ้นกับว่าเรามาจากวัฒนธรรมใด 00:08:09.248 --> 00:08:12.029 เป็นเรื่องวัฒนธรรมใครวัฒนธรรมมัน อยู่มาก 00:08:12.029 --> 00:08:15.373 แต่จริง ๆ แล้ว ไม่มีข้อมูลตัวเลขที่สนับสนุนเรื่องนี้ 00:08:15.373 --> 00:08:18.188 งานวิจัยดังชิ้นหนึ่ง สำรวจคนจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก 00:08:18.188 --> 00:08:19.664 ตั้งแต่อเมริกันยันซูลู 00:08:19.664 --> 00:08:22.810 ดูว่าเขามองหาคู่กันยังไง 00:08:22.810 --> 00:08:24.729 และในทุก ๆ วัฒนธรรมทั่วโลก 00:08:24.729 --> 00:08:28.084 ชายให้คุณค่ากับ เสน่ห์ทางกายของคนที่จะมาเป็นคู่ 00:08:28.084 --> 00:08:29.146 มากกว่าหญิง 00:08:29.146 --> 00:08:30.955 และในทุก ๆ วัฒนธรรม 00:08:30.955 --> 00:08:36.016 หญิงให้ความสำคัญกับความทะเยอทะยาน และความสามารถในการหาเลี้ยงชีพ มากกว่าชาย 00:08:36.016 --> 00:08:37.742 และในทุก ๆ วัฒนธรรมอีกเช่นกัน 00:08:37.742 --> 00:08:39.447 ชายชอบหญิงอายุน้อยกว่าตน 00:08:39.447 --> 00:08:42.834 โดยเฉลี่ย ผมจำได้ว่า 2.66 ปี 00:08:42.834 --> 00:08:44.519 และในทุกวัฒนธรรมอีกเช่นกัน 00:08:44.519 --> 00:08:46.855 หญิงชอบชายที่มีอายุมากกว่าตน 00:08:46.855 --> 00:08:49.255 โดยเฉลี่ย 3.42 ปี 00:08:49.255 --> 00:08:52.860 ทำให้เรามีคำกล่าวว่า "ใคร ๆ ก็อยากมีเสี่ยเลี้ยง" 00:08:52.860 --> 00:08:54.450 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:08:54.450 --> 00:08:56.657 จากการทำคะแนนหาคู่ ตอนนี้เราจะไปต่อ 00:08:56.657 --> 00:08:59.909 เรื่องการทำคะแนนในเกมบาสเกตบอล หรือฟุตบอล หรือกีฬาใด ๆ ที่คุณชอบ 00:08:59.909 --> 00:09:03.890 ความเชื่อก็คือ นักกีฬาจะมีช่วงมือขึ้น ซึ่งคนอเมริกันเรียกว่า "hot-hand streaks" 00:09:03.890 --> 00:09:06.250 และเราคนอังกฤษเรียกว่า "purple patches" 00:09:06.250 --> 00:09:09.130 เป็นช่วงที่นักกีฬาจะไม่พลาดเป้า เหมือนกับชายคนนี้ 00:09:09.130 --> 00:09:12.614 แต่จริง ๆ แล้ว เมื่อมาวิเคราะห์รูปแบบ 00:09:12.614 --> 00:09:14.532 ของการได้และการพลาดตามสถิติ 00:09:14.532 --> 00:09:16.891 จะพบว่า เป็นเรื่องสุ่มหรือบังเอิญ เกือบทั้งหมด 00:09:16.891 --> 00:09:19.506 แต่สมองเรา จะสร้างรูปแบบจากเรื่องบังเอิญ 00:09:19.506 --> 00:09:21.413 ถ้าเราโยนเหรียญ 00:09:21.413 --> 00:09:24.569 จะมีบ้างที่ออกหัวหรือก้อยติด ๆ กัน ในลำดับสุ่มนั้น 00:09:24.569 --> 00:09:27.630 และเพราะว่า สมองชอบมองหารูปแบบ แม้ว่าจะไม่มีรูปแบบก็ตาม 00:09:27.630 --> 00:09:30.151 เราเห็นลำดับติด ๆ กันเราก็ชิงตีความ 00:09:30.151 --> 00:09:32.258 และสรุปว่า "วันนี้เขาฟอร์มดีมาก" 00:09:32.258 --> 00:09:35.158 ทั้ง ๆ ที่เราจะเห็นรูปแบบ แบบเดียวกันนั่นแหละ 00:09:35.158 --> 00:09:39.093 หากยิงเข้าเป้าหรือพลาดเป้าไปเรื่อย NOTE Paragraph 00:09:39.093 --> 00:09:41.579 แต่มีข้อยกเว้นอย่างหนึ่ง คือตอนยิงลูกโทษ 00:09:41.579 --> 00:09:44.494 มีงานศึกษาเร็ว ๆ นี้ ที่ศึกษาเรื่องการยิงลูกโทษในกีฬาฟุตบอล 00:09:44.494 --> 00:09:47.244 แสดงให้เห็นว่านักกีฬาจากประเทศ 00:09:47.244 --> 00:09:49.308 ที่มีประวัติยิงลูกโทษไม่ค่อยเข้า 00:09:49.308 --> 00:09:51.691 เช่น ประเทศอังกฤษ 00:09:51.691 --> 00:09:55.492 มักจะรีบ ๆ ยิง มากกว่า นักเตะประเทศที่มีประวัติดีกว่า 00:09:55.492 --> 00:09:58.912 จึงเชื่อได้เลยว่า มีโอกาสพลาดมากกว่า NOTE Paragraph 00:09:58.912 --> 00:10:00.747 ซึ่งนำไปสู่คำถามว่า 00:10:00.747 --> 00:10:04.296 มีวิธีที่เราจะเพิ่ม ประสิทธิภาพของคนได้หรือไม่ 00:10:04.296 --> 00:10:06.454 และสิ่งหนึ่งที่คุณอาจจะคิดขึ้นได้ก็คือ 00:10:06.454 --> 00:10:09.893 ถ้าทำพลาดจะถูกทำโทษ แล้วดูว่าจะดีขึ้นไหม 00:10:09.893 --> 00:10:12.655 แนวคิดนี้ที่ว่า ผลการลงโทษช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ 00:10:12.655 --> 00:10:15.571 เป็นสิ่งที่ผู้ร่วมทดลองคิดว่า ตนกำลังศึกษา 00:10:15.571 --> 00:10:18.087 ในการทดลองมีชื่อของมิลแกรม เรื่องการเรียนรู้และการลงโทษ 00:10:18.087 --> 00:10:20.321 หากคุณเป็นนักศึกษาจิตวิทยา คุณคงรู้จัก 00:10:20.321 --> 00:10:23.203 เรื่องก็คือ ผู้ร่วมทดลองพร้อมที่จะปล่อย 00:10:23.203 --> 00:10:27.214 กระแสไฟฟ้าที่ตนคิดว่าแรงจนฆ่าคนได้ ไปช็อคผู้ร่วมการทดลองด้วยกัน 00:10:27.214 --> 00:10:28.855 ถ้าพวกเขาตอบคำถามผิด 00:10:28.855 --> 00:10:31.234 เพราะว่าคนเสื้อขาวบอกให้ทำ NOTE Paragraph 00:10:31.234 --> 00:10:33.819 แต่เรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า โดยสามสาเหตุ 00:10:33.819 --> 00:10:38.729 เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือ สีเสื้อในห้องทดลองไม่ใช่สีขาวแต่เป็นสีเทา 00:10:38.729 --> 00:10:43.090 เรื่องที่สองคือ มีการบอกผู้ร่วมทดลองล่วงหน้าก่อนแล้ว 00:10:43.090 --> 00:10:45.877 และเตือนว่าทุกครั้งที่พวกเขาเกิดความกังวล 00:10:45.877 --> 00:10:48.530 ว่าแม้การช็อคไฟฟ้าจะเจ็บ แต่จะไม่ถึงตาย 00:10:48.530 --> 00:10:51.390 และจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายถาวรใด ๆ 00:10:51.390 --> 00:10:53.712 เรื่องสามคือ ผู้ร่วมทดลองไม่ได้ปล่อยกระแสไฟฟ้า 00:10:53.712 --> 00:10:56.722 เพียงแค่คนที่ใส่เสื้อกาวน์บอกให้ทำ 00:10:56.722 --> 00:10:58.852 พวกเขาให้สัมภาษณ์หลังงานทดลอง 00:10:58.852 --> 00:11:01.063 ผู้ร่วมการทดลองทุกคนกล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า 00:11:01.063 --> 00:11:04.144 งานศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้และการลงโทษ มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ 00:11:04.144 --> 00:11:06.662 ซึ่งจะทำให้เกิดพัฒนาการที่ยั่งยืน ในวิทยาศาสตร์ 00:11:06.662 --> 00:11:14.214 เมื่อเทียบกับการเจ็บตัวเล็กน้อยไม่ถึงตาย ที่เกิดกับผู้ร่วมการทดลอง NOTE Paragraph 00:11:14.214 --> 00:11:16.650 โอเค ผมพูดมาแล้วประมาณ 12 นาที 00:11:16.650 --> 00:11:19.026 และพวกคุณอาจกำลังนั่งฟังผมไป 00:11:19.026 --> 00:11:21.506 วิเคราะห์รูปแบบการพูด และอากัปกิริยาของผมไป 00:11:21.506 --> 00:11:24.643 เพื่อคำนวณว่าจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดไปดีไหม 00:11:24.643 --> 00:11:26.863 ว่าผมพูดความจริง หรือว่าพูดเท็จ 00:11:26.863 --> 00:11:29.697 ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คุณคงผิดหวัง 00:11:29.697 --> 00:11:32.341 เพราะว่า แม้เราจะคิดว่าเราจับโกหกได้ 00:11:32.341 --> 00:11:34.124 จากอากัปกิริยาหรือรูปแบบการพูด 00:11:34.124 --> 00:11:37.337 หลายปีที่ผ่านมามีการทดสอบ ทางจิตวิทยาเป็นร้อย ๆ ครั้งที่แสดงว่า 00:11:37.337 --> 00:11:39.138 เราทุกคน รวมทั้งตำรวจและนักสืบ 00:11:39.138 --> 00:11:42.088 จับโกหกจากท่าทางและการพูดจา 00:11:42.088 --> 00:11:44.039 กันได้ก็แค่บังเอิญเท่านั้น 00:11:44.039 --> 00:11:46.093 แต่น่าสนใจว่า มียกเว้นอยู่ข้อหนึ่ง 00:11:46.093 --> 00:11:48.326 ในการออกสื่อทางทีวีขอให้ค้นหาญาติที่หายไป 00:11:48.326 --> 00:11:51.650 ง่ายมากที่จะเดาว่า ญาติหายไปจริง 00:11:51.650 --> 00:11:54.698 หรือความจริงคนที่ออกมาขอร้อง ได้ฆ่าญาติของเขาไปเอง 00:11:54.698 --> 00:11:58.730 เพราะคนที่ออกมาขอร้องซึ่งเป็นคนหลอกลวง มีแนวโน้มที่จะส่ายหน้าและหันมองไปทางอื่น 00:11:58.730 --> 00:12:00.160 และพูดผิด ๆ ถูก ๆ 00:12:00.160 --> 00:12:03.005 ในขณะที่คนที่ขอร้องอย่างจริงใจ มีแนวโน้มที่จะแสดงความหวัง 00:12:03.005 --> 00:12:05.140 ว่าญาติของเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย 00:12:05.140 --> 00:12:07.011 และจะหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำรุนแรง 00:12:07.011 --> 00:12:11.347 เช่น เขาอาจพูดว่า "พรากไปจากเรา" แทนที่จะพูดว่า "ถูกฆ่า" NOTE Paragraph 00:12:11.347 --> 00:12:14.041 ซึ่งก็พอดี ถึงเวลาที่ผมจะเลิกพูด 00:12:14.041 --> 00:12:16.909 แต่ก่อนจะเลิก ผมอยากจะใช้เวลา ภายใน 30 วินาทีกล่าวถึง 00:12:16.909 --> 00:12:19.560 สุดยอดตำนานทางจิตวิทยาที่ครอบงำเรา 00:12:19.560 --> 00:12:22.287 ที่ว่า จิตวิทยาเป็นเพียงกลุ่มทฤษฎีที่น่าสนใจ 00:12:22.287 --> 00:12:27.807 ทุกเรื่องให้สิ่งที่ประโยชน์ ทุกเรื่องมีดีให้เรานำไปใช้ 00:12:27.807 --> 00:12:30.547 สิ่งที่ผมหวังว่า ที่ผมนำเสนอในไม่กี่นาทีที่ผ่านมา 00:12:30.547 --> 00:12:32.412 แสดงให้คุณเห็นว่ามันไม่จริง 00:12:32.412 --> 00:12:35.541 สิ่งที่เราควรทำก็คือ ประเมินทฤษฎีจิตวิทยา 00:12:35.541 --> 00:12:37.605 โดยสังเกตว่า ทฤษฎีพยากรณ์อะไรบ้าง 00:12:37.605 --> 00:12:40.426 เช่น การฟังดนตรีโมซาร์ท ทำให้เราฉลาดขึ้น 00:12:40.426 --> 00:12:44.343 หรือเราเรียนรู้ได้ดีขึ้นหากได้รับข้อมูล ที่ตรงกับสไตล์การเรียนรู้ของเรา 00:12:44.343 --> 00:12:45.608 หรืออะไรก็ตาม 00:12:45.608 --> 00:12:48.598 ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นการคาดเดา ที่เราสามารถทดสอบได้ด้วยหลักฐาน 00:12:48.598 --> 00:12:50.683 และวิธีเดียวที่เราจะก้าวไปข้างหน้าได้ 00:12:50.683 --> 00:12:52.803 ก็คือเทียบการคาดเดาเหล่านี้ กับข้อมูลตัวเลข 00:12:52.803 --> 00:12:55.208 ที่ไ่ด้มาจากงานทดลองที่มีการควบคุมที่ดี 00:12:55.208 --> 00:12:57.756 ทำเช่นนี้แล้ว เราจึงจะสามารถค้นพบได้ว่า 00:12:57.756 --> 00:13:00.060 ทฤษฎีไหนที่มีหลักฐานสนับสนุนมากพอ 00:13:00.060 --> 00:13:03.669 และทฤษฎีไหน เป็นเพียงแค่ตำนานปรัมปรา ดังเช่นที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง NOTE Paragraph 00:13:03.669 --> 00:13:04.709 ขอบคุณครับ NOTE Paragraph 00:13:04.709 --> 00:13:07.776 (เสียงปรบมือ)