รู้จัก “วิกฤตเครดิต” ด้วยภาพ “วิกฤตเครดิต” คืออะไร? มันคือความเหลวแหลกของภาคการเงินทั่วโลก เต็มไปด้วยคำที่คุณไม่เคยได้ยินอย่าง “สินเชื่อที่อยู่อาศัยซับไพรม์” “หลักทรัพย์อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ ซีดีโอ” “ตลาดสินเชื่อแช่แข็ง” และ “ประกันผิดนัดชำระหนี้ หรือ ซีดีเอส” ใครถูกกระทบบ้างล่ะ? ทุกคนเลย มันเกิดขึ้นอย่างไร มาดูกัน วิกฤตซับไพรม์ชักจูงคนสองกลุ่มให้มาเจอกัน เจ้าของบ้าน กับนักลงทุน เจ้าของบ้านผ่อนสินเชื่อที่อยู่อาศัย นักลงทุนก็เอาเงินมา สิ่งที่อยู่ใต้สินเชื่อที่อยู่อาศัยก็คือบ้าน ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเงินทุนก็คือสถาบันใหญ่ๆ อย่างเช่นกองทุนบำนาญ บริษัทประกัน กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ กองทุนรวม และอื่นๆ สองกลุ่มนี้มาเจอกันผ่านระบบการเงิน – กลุ่มธนาคารและนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่เราเรียกว่า ภาคการเงิน อาจดูไม่เหมือน แต่ธนาคารเหล่านี้ใกล้ชิดกับบ้านเรือนกว่าที่เราคิด เพื่อความเข้าใจ มาเริ่มกันที่จุดตั้งต้นดีกว่า หลายปีก่อน นักลงทุนนั่งทับเงินมหาศาล มองหาโอกาสการลงทุนดีๆ จะได้มีเงินมากขึ้น ปกติพวกเขาไปที่ธนาคารกลาง ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด แต่หลังจากที่ฟองสบู่ดอทคอมแตก เกิดโศกนาฏกรรม 9/11 อลัน กรีนสแปน ประธานธนาคารกลาง ก็ลดดอกเบี้ยลงเหลือแค่ร้อยละ 1 เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ร้อยละ 1 นี่ถือว่าเป็นผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำมาก นักลงทุนเลยไม่เอา แต่ในแง่บวก มันแปลว่าธนาคารกู้เงินจากธนาคารกลางได้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เท่านั้นเอง นอกจากนั้นยังมีเงินไหลเข้าจากญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง มีเงินเหลือเฟือให้กู้ ทำให้ธนาคารกู้เงินง่ายมาก พวกเขาก็เลยรีบ.... กู้เงินมาลงทุน การกู้เงินมาลงทุน คือการกู้เงินมาทำให้ผลลัพธ์ทวีคูณ มันทำงานอย่างนี้: ในดีลปกติ คนที่มีเงิน $10,000 ซื้อกล่องในราคา $10,000 แล้วเอาไปขายคนอื่นในราคา $11,000 ทำกำไร $1,000 ไม่เลวเลย แต่ถ้าเป็นการใช้เงินกู้มาลงทุน คนที่มี $10,000 จะไปกู้เงินมาอีก 990,000 เหรียญสหรัฐ ทำให้เขามีเงินในมือ $1,000,000 เสร็จแล้วก็เอา $1,000,000 ไปซื้อกล่องมา 100 กล่อง ขายให้คนอื่นในราคา $1,100,000 เสร็จแล้วก็จ่ายคืนเงินกู้ $990,000 บวกดอกเบี้ยอีก $10,000 ดังนั้นจากเงินตัวเอง $10,000 เขาได้กำไรถึง $90,000 เทียบกับกำไร $1,000 ของคนที่ไม่ได้กู้มาลงทุน การกู้เงินมาลงทุนแปลงดีลโอเคให้เป็นดีลเจ๋งมาก นี่เป็นวิธีหากำไรหลักของธนาคาร ภาคการเงินเลยไปกู้เงินมหาศาลมาทำดีเจ๋งมาก แล้วก็ร่ำรวยมหาศาล แล้วก็ใช้หนี้ นักลงทุนเห็นภาพแบบนี้ อยากมีเอี่ยวด้วย ภาคการเงินเลยปิ๊งไอเดีย เชื่อมนักลงทุนกับเจ้าของบ้านผ่านสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ มันทำงานแบบนี้ ครอบครัวอยากได้บ้าน ออมเงินพอจ่ายเงินดาวน์ แล้วไปติดต่อนายหน้าขายบ้าน นายหน้าแนะนำครอบครัวให้กับธนาคาร ธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ นายหน้าได้ค่านายหน้างามๆ ครอบครัวนี้ซื้อบ้าน กลายเป็นเจ้าของบ้าน ดีกับพวกเขามาก เพราะราคาบ้านมีแต่ขึ้นไม่เคยลงเท่าที่เคยเห็น ทุกอย่างลงตัวสวยงาม วันหนึ่ง เจ้าหนี้ได้รับโทรศัพท์จากวาณิชธนกรที่อยากซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัย เจ้าหนี้ขายให้แลกกับค่าธรรมเนียมงามๆ เสร็จแล้ววาณิชธนกรก็ไปยืมเงินมาหลายล้านเหรียญ ซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาอีกหลายพันสัญญา แล้วใส่มันลงไปในกล่องสวยๆ นั่นแปลว่าทุกเดือนเขาจะได้เงินค่างวดจากเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อทั้งหมดที่อยู่ในกล่อง เขาสั่งให้พ่อมดการเงินมาเสกคาถา คือหั่นมันออกเป็นเสี้ยวๆ "ปลอดภัย โอเค กับ เสี่ยงสูง" พวกเขาอัดเสี้ยวต่างๆ เข้าไปในกล่องใหม่ เรียกมันว่า หลักทรัพย์อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ ซีดีโอ ซีอีโอทำงานเหมือนถาดสามชั้นที่เรียงกันเป็นทอด พอเงินไหลเข้า ถาดบนสุดจะเต็มก่อน แล้วค่อยล้นออกมาใส่ถาดที่สอง อะไรก็ตามที่ยังเหลือจะไหลไปใบสุดท้าย เงินไหลมาจากเงินค่างวด จากเจ้าของบ้านที่ผ่อนสินเชื่อ ถ้าเจ้าของบ้านผ่อนไม่ได้ ผิดนัดชำระหนี้ เงินก็ไหลเข้าน้อยลง ถาดใบล่างสุดอาจไม่เต็ม แปลว่าถาดใบล่างสุดเสี่ยงสูงกว่า ถาดใบบนสุดปลอดภัยกว่า ถาดใบล่างสุดได้รับค่าตอบแทนความเสี่ยงที่สูงกว่า ด้วยการได้ผลตอบแทนดีกว่าถาดใบบนสุด ซึ่งได้ผลตอบแทนน้อยกว่าแต่ก็ยังดูดี ธนาคารทำให้ถาดบนสุดปลอดภัยกว่านั้นอีกด้วยการขายประกันการผิดนัดชำระหนี้ให้ เรียกว่า ซีดีเอส ธนาคารทำแบบนี้เพื่อให้สถาบันจัดอันดับเครดิตแปะป้ายถาดบนสุดว่า การลงทุนที่ปลอดภัย คืออันดับ AAA ซึ่งเป็นระดับการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด ถาดใบกลาง เสี้ยวโอเค ได้อันดับ BBB ซึ่งก็ยังโอเคอยู่ พวกเขาไม่เสียเวลาจัดอันดับถาดใบล่างสุด อันดับ AAA ทำให้วาณิชธนกรสามารถขายเสี้ยวปลอดภัยให้กับนักลงทุนที่อยากได้แต่การลงทุนที่ปลอดภัย เขาขายเสี้ยว "โอเค" ให้กับธนาคารอื่น และขายเสี้ยวเสี้ยงสูงให้กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์และคนอื่นที่อยากเสี่ยง วาณิชธนกรทำเงินได้หลายล้าน แล้วก็จ่ายหนี้คืน สุดท้ายนักลงทุนก็พบการลงทุนที่ดี ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล 1% มาก พวกเขาดีใจมากจนอยากได้เสี้ยวซีดีโออีก วาณิชธนกรจึงโทรฯ หาเจ้าหนี้ บอกว่าอยากได้สินเชื่อที่อยู่อาศัยอีก เจ้าหนี้โทรหานายหน้า บอกให้หาเจ้าของบ้านมาอีก แต่นายหน้าหาเจ้าของบ้านไม่เจอแล้ว ทุกคนที่ผ่านเกณฑ์สินเชื่อตอนนี้มีบ้านกันหมดแล้ว แต่พวกเขามีไอเดีย พอเจ้าของบ้านผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ยึดบ้าน แต่บ้านนั้นราคาสูงขึ้นตลอด ในเมื่อเจ้าหนี้ขายบ้านได้คุ้มยอดสินเชื่อที่หายไป พวกเขาจึงเพิ่มความเสี่ยงให้กับสินเชื่อใหม่ๆ ได้ เริ่มจากบอกให้คนไม่ต้องดาวน์ ไม่ต้องพิสูจน์ว่ามีรายได้ ไม่ต้องมีเอกสารอะไรเลย! นั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ แทนที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับเจ้าของบ้านที่รับผิดชอบ เรียกว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้าชั้นดี (prime) พวกเขาก็เริ่มปล่อยให้กับคนที่ เอ่อ ไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าไร นั่นคือสินเชื่อซับไพรม์ (subprime) นั่นคือจุดเปลี่ยน เหมือนกับทุกครั้ง นายหน้าสินเชื่อเชื่อมครอบครัวให้กับเจ้าหนี้ ได้ค่านายหน้าไป ครอบครัวซื้อบ้านหลังใหญ่ เจ้าหนี้ขายสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อไปให้กับวาณิชธนกร ซึ่งแปลงมันเป็นซีดีโอ แล้วก็เอาเสี้ยวต่างๆ ไปขายให้นักลงทุนและคนอื่น ดีลนี้เจ๋งสำหรับทุกคน พวกเขาร่ำรวยกันถ้วนหน้า ไม่มีใครกังวลใจ เพราะทันทีที่ขายสินเชื่อไปให้กับคนต่อไป มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาแล้ว ถ้าเจ้าของบ้านเริ่มผิดนัดชำระหนี้ พวกเขาก็ไม่สน เพราะกำลังขายความเสี่ยงต่อไปอีกทอด ทำเงินได้หลายล้าน มันเหมือนเล่นเกมโมราเรียกชื่อ แต่ใช้ระเบิดเวลาแทน ไม่น่าแปลกใจ ไม่นานเจ้าของบ้านก็ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งตอนนี้เป็นของเจ้าหนี้ธนาคาร แปลว่าธนาคารไปยึดบ้าน เงินค่างวดหนึ่งเดือนกลายเป็นบ้าน เรื่องกล้วยๆ เขาเอาบ้านไปขาย แต่เงินค่างวดกลายเป็นบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ในตลาดมีบ้านประกาศขายมากมาย มีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ ราคาบ้านก็ไม่พุ่งสูงอีกแล้ว ที่จริงมันดิ่งเหวเลย ทำให้เกิดปัญหาที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านที่ยังผ่อนอยู่ พอบ้านในละแวกของเขาทยอยถูกประกาศขายไปทีละหลัง มูลค่าบ้านของพวกเขาก็ลดลง พวกเขาเริ่มข้องใจว่าผ่อนสินเชื่อ $300,000 อยู่ทำไม ในเมื่อตอนนี้บ้านมีมูลค่า $90,000 เท่านั้นเอง พวกเขาตัดสินใจว่าไม่คุ้มที่จะผ่อนต่อ แม้ว่าจะมีกำลังผ่อน พวกเขาเดินหนีออกจากบ้าน กระแสอัตราการผิดนัดพุ่งทั่วประเทศ ราคาดิ่งเหว ตอนนี้วาณิชธนกรเท่ากับถือกล่องที่เต็มไปด้วยบ้านไร้ค่า เขาโทรฯ หาเพื่อนนักลงทุน พยายามขายซีดีโอ แต่นักลงทุนไม่โง่ บอกว่าไม่เอาแล้ว ขอบคุณ เขารู้ดีว่าเงินหยุดไหล ไม่มีแม้แต่หนึ่งหยด วาณิชธนกรพยายามขายให้ทุกคน แต่ไม่มีใครอยากซื้อระเบิดเวลา เขากำลังประสาทกินเพราะกู้เงินมาหลายล้าน บางทีหลายพันล้าน เพื่อมาซื้อระเบิดเวลา ตอนนี้เขาชำระหนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็กำจัดระเบิดนี่ไม่ได้ แต่เขาไม่ใช่คนเดียว นักลงทุนที่ซื้อระเบิดเวลาไปแล้วหลายพันลูก เจ้าหนี้พยายามขายสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่วาณิชธนกรไม่เอา นายหน้าก็ตกงาน ระบบการเงินทั้งระบบถูกแช่แข็ง ทุกอย่างดับมืด... ทุกคนเริ่มล้มละลาย แต่ยังไม่จบ นักลงทุนโทรฯ บอกเจ้าของบ้านว่า ที่เขาลงทุนไปน่ะไร้ค่า คุณคงเริ่มเห็นแล้วว่าวิกฤตนี้ไหลเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไร ขอต้อนรับสู่วิกฤตเครดิต