WEBVTT 00:00:01.267 --> 00:00:03.933 ผมชื่อ แดน โคเฮน ผมเป็นนักวิชาการ 00:00:04.500 --> 00:00:07.416 และนั่นหมายความว่า ผมโตแย้ง 00:00:07.540 --> 00:00:09.243 การโต้แย้งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผม 00:00:09.267 --> 00:00:10.433 และผมก็ชอบการโต้แย้ง 00:00:10.713 --> 00:00:14.109 ผมไม่ได้เป็นแค่นักวิชาการอย่างเดียว ผมเป็นนักปรัชญาด้วย 00:00:14.133 --> 00:00:17.076 ดังนั้น ผมชอบที่จะคิดว่า จริง ๆ แล้วผมโต้แย้งได้ดีทีเดียว NOTE Paragraph 00:00:17.100 --> 00:00:19.900 แต่ผมชอบคิดเรื่องการโต้แย้งด้วยเหมือนกัน 00:00:20.367 --> 00:00:23.777 และระหว่างที่คิดเรื่องการโต้แย้ง ผมได้พบกับปริศนาบางอย่าง 00:00:23.777 --> 00:00:25.760 หนึ่งในปริศนานั้น คือ 00:00:25.760 --> 00:00:27.707 ระหว่างที่ผมคิดเรื่องการโต้แย้งมาเป็นปี ๆ 00:00:27.707 --> 00:00:29.560 และตอนนี้ก็สิบกว่าปีแล้ว 00:00:29.560 --> 00:00:31.476 ผมโต้แย้งได้ดีขึ้น 00:00:31.500 --> 00:00:34.929 แต่ยิ่งผมโต้แย้งมากขึ้นและ ยิ่งผมโต้แย้งเก่งขึ้น 00:00:34.973 --> 00:00:36.333 ผมยิ่งแพ้มากขึ้น 00:00:36.937 --> 00:00:38.209 นั่นแหละที่เป็นปริศนา NOTE Paragraph 00:00:38.213 --> 00:00:41.500 และอีกปริศนาก็คือ จริง ๆ แล้วผมก็ค่อนข้างชอบ 00:00:41.500 --> 00:00:43.343 ทำไมผมถึงยอมรับกับความพ่ายแพ้ 00:00:43.367 --> 00:00:46.809 และทำไมผมคิดว่า ผู้โต้แย้งที่ดี จริง ๆ แล้วก็แพ้ได้เก่งกว่าด้วย 00:00:46.833 --> 00:00:48.843 ยังมีปริศนาอื่น ๆ อีก 00:00:48.867 --> 00:00:50.743 หนึ่งคือ ทำไมเราถึงโต้แย้ง 00:00:50.767 --> 00:00:52.409 ใครได้ประโยชน์จากการโต้แย้ง 00:00:52.433 --> 00:00:54.776 เมื่อผมคิดถึงการโต้แย้ง ผมหมายถึง 00:00:54.800 --> 00:00:57.643 การโต้แย้งเชิงวิชาการ หรือการโต้แย้งทางความคิด 00:00:57.667 --> 00:00:59.509 ที่ซึ่งเดิมพันกันด้วย องค์ความรู้ 00:00:59.533 --> 00:01:02.276 ข้อเสนอนี้เป็นจริงหรือไม่ ทฤษฎีนี้ดีหรือเปล่า 00:01:02.300 --> 00:01:06.776 สามารถตีความต่อจากข้อมูล หรือเนื้อหาได้หรือไม่ เป็นต้น 00:01:06.800 --> 00:01:10.776 ผมไม่สนใจการโต้แย้งที่ว่า รอบนี้ใครจะเป็นคนล้างจาน 00:01:10.800 --> 00:01:12.476 หรือใครจะเป็นคนไปทิ้งขยะ 00:01:12.500 --> 00:01:14.809 ก็ใช่ เรามีการโต้แย้งแบบนั้น 00:01:14.833 --> 00:01:16.956 ผมมีแนวโน้มที่จะชนะมากกว่า เพราะผมรู้เทคนิค 00:01:17.050 --> 00:01:18.366 แต่การโต้แย้งในเรื่องแบบนี้ไม่สำคัญ 00:01:18.490 --> 00:01:20.736 ผมสนใจการโต้แย้งในเชิงวิชาการ 00:01:20.860 --> 00:01:22.327 และนี่คือปริศนาของผม NOTE Paragraph 00:01:22.447 --> 00:01:27.653 อย่างแรก ผู้โต้แย้งที่ดีชนะอะไร เมื่อเขาชนะการโต้แย้ง 00:01:27.717 --> 00:01:30.243 ผมชนะอะไร ถ้าผมโน้มน้าวคุณว่า 00:01:30.267 --> 00:01:32.416 อรรถประโยชน์นิยมไม่ใช่กรอบความคิดที่ถูก 00:01:32.420 --> 00:01:33.910 ในการวิเคราะห์ทฤษฎีทางจริยศาสตร์ 00:01:33.970 --> 00:01:36.270 เราชนะอะไรตอนที่เราโต้แย้งชนะ 00:01:36.270 --> 00:01:37.743 แม้กระทั่งก่อนหน้านั้น 00:01:37.767 --> 00:01:39.009 มันสำคัญอะไรกับผม 00:01:39.033 --> 00:01:41.976 คุณจะคิดว่าทฤษฎีของคานต์ใช้ได้ 00:01:42.000 --> 00:01:45.176 หรือจริยศาสตร์ของมิลล์ถูกต้องควรปฎิบัติตาม 00:01:45.200 --> 00:01:46.576 มันไม่ใช่เรื่องของผม 00:01:46.600 --> 00:01:49.767 ไม่ว่าคุณจะเห็นว่าแนวคิดกลุ่มหน้าที่ของจิต เป็นทฤษฎีจิตที่ใช้การได้ 00:01:50.300 --> 00:01:52.343 ฉะนั้น เราจะพยายามโต้แย้งไปเพื่ออะไร 00:01:52.367 --> 00:01:54.209 ทำไมเราพยายามโน้มน้าวคนอื่น 00:01:54.233 --> 00:01:56.409 ให้เชื่อในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเชื่อ 00:01:56.433 --> 00:01:58.209 และกระทั่งว่า ทำแบบนี้ดีหรือเปล่า 00:01:58.233 --> 00:02:00.476 มันเป็นวิธีปฎิบัติต่อมนุษย์ที่ดีหรือไม่ 00:02:00.500 --> 00:02:03.476 พยายามทำให้คนอื่นคิดในสิ่งที่ เขาไม่ต้องการจะคิด 00:02:03.500 --> 00:02:08.175 คำตอบของผม จะอ้างอิง ถึงการโต้แย้ง 3 รูปแบบ NOTE Paragraph 00:02:08.199 --> 00:02:10.533 แบบแรก เรามาเรียกมันว่า วิภาษวิธี 00:02:10.547 --> 00:02:13.010 คือ เราคิคถึงการโต้แย้ง แบบทำสงคราม คุณรู้ว่ามันเป็นอย่างไร 00:02:13.010 --> 00:02:16.563 กรีดร้อง ตะโกนใส่กันเยอะ ๆ และมีแพ้มีชนะ 00:02:16.563 --> 00:02:18.580 มันเป็นรูปแบบที่ไม่มีประโยชน์สักเท่าไรนัก 00:02:18.580 --> 00:02:21.543 แต่มันเป็นวิธีที่ค่อนข้างธรรมดา และยึดมันถือกันในการโต้แย้ง NOTE Paragraph 00:02:21.567 --> 00:02:24.809 แต่มีการโต้แย้งแบบที่ 2 การโต้แย้งแบบข้อพิสูจน์ 00:02:24.833 --> 00:02:26.909 ลองนึกถึง การโต้แย้งของนักคณิตศาสตร์ 00:02:26.933 --> 00:02:29.709 นี่คือข้อโต้แย้งของผม ใช้ได้หรือไม่ ดีหรือเปล่า 00:02:29.733 --> 00:02:34.209 ข้อเสนอถูกรับรองหรือเปล่า การอนุมานสมเหตุสมผลหรือเปล่า 00:02:34.233 --> 00:02:36.776 ข้อสรุปเป็นไปตามข้อตั้งหลักหรือเปล่า 00:02:36.800 --> 00:02:39.209 ไม่มีฝ่ายตรงข้าม ไม่มีความขัดแย้ง 00:02:39.233 --> 00:02:44.909 ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งด้วย ความรู้สึกเป็นศัตรู NOTE Paragraph 00:02:44.933 --> 00:02:46.773 แต่ก็มีรูปแบบที่ 3 ซึ่งโปรดจำไว้ 00:02:46.773 --> 00:02:48.409 เพราะผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์อย่างมาก 00:02:48.413 --> 00:02:53.943 และมันคือ การโต้แย้งเแบบแสดงต่อหน้าผู้ฟัง 00:02:53.967 --> 00:02:56.909 ลองนึกถึงนักการเมืองที่พยายามเสนอจุดยืน 00:02:56.933 --> 00:02:59.076 พยายามโน้มน้าวบางอย่างให้ผู้ชม NOTE Paragraph 00:02:59.100 --> 00:03:02.576 แต่ก็มีจุดหักมุมอีกอย่างในรูปแบบนี้ ที่ผมคิดว่ามันสำคัญมาก 00:03:02.600 --> 00:03:06.609 เมื่อเราโต้แย้งต่อหน้าผู้ฟัง 00:03:06.633 --> 00:03:10.709 บางครั้ง ผู้ฟังก็มีบทบาทในการมีส่วนร่วม มากขึ้นในการโต้แย้ง 00:03:10.733 --> 00:03:15.243 มันคือ การโต้แย้งที่แสดง ต่อหน้าคณะลูกขุน 00:03:15.267 --> 00:03:18.043 ผู้ซึ่งให้คำวินิจฉัยและตัดสินในกรณีนั้น ๆ 00:03:18.067 --> 00:03:19.876 เรามาเรียกมันว่า รูปแบบวาทศิลป์ 00:03:19.900 --> 00:03:23.609 คุณต้องเสนอข้อโต้แย้งอย่างพิถีพิถัน ให้ผู้ฟังเข้าใจ 00:03:23.633 --> 00:03:26.270 นำเสนอชัดเจน อ้างเหตุผลอย่างดี 00:03:26.270 --> 00:03:29.660 การเสนอข้อโต้แย้งที่ดีในภาษาอังฤษ ต่อผู้ฟังที่ช้ภาษาฝรั่งเศส 00:03:29.660 --> 00:03:31.300 มันคงไม่ได้ผล NOTE Paragraph 00:03:31.800 --> 00:03:35.443 เรามีการโต้แย้ง 3 รูปแบบ แบบสงคราม แบบข้อพิสูจน์ 00:03:35.467 --> 00:03:37.847 และแบบการแสดง 00:03:38.167 --> 00:03:41.933 จาก 3 รูปแบบ การโต้แย้งแบบสงคราม เป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลที่สุด 00:03:42.437 --> 00:03:45.070 มันครอบงำวิธีที่เราพูดถึงการโต้แย้ง 00:03:45.070 --> 00:03:47.143 มันครอบงำวิธีที่เราคิดถึงการโต้แย้ง 00:03:47.167 --> 00:03:50.143 เพราะฉะนั้น มันขัดเกลา วิธีที่เราใช้ในการโต้แย้ง 00:03:50.167 --> 00:03:51.943 สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อเราโต้แย้ง 00:03:51.967 --> 00:03:53.643 ปัจจุบันเมื่อเราพูดถึงการโต้แย้ง 00:03:53.667 --> 00:03:55.643 เราพูดในแบบภาษาทหาร 00:03:55.667 --> 00:03:58.909 เราต้องการการโต้แย้งที่แข็งแกร่ง การโต้แย้งที่มีพลังโจมตีรุนแรง 00:03:58.933 --> 00:04:00.609 การโต้แย้งที่ตรงเข้าเป้าหมาย 00:04:00.633 --> 00:04:03.809 เราต้องการการป้องกันและ ยุทธ์ศาสตร์ที่พร้อมใช้ 00:04:03.833 --> 00:04:06.409 เราต้องการ ทำลายข้อโต้แย้ง 00:04:06.433 --> 00:04:08.430 นั่นคือการโต้แย้งแบบที่เราต้องการ 00:04:09.170 --> 00:04:11.419 มันเป็นวิธีที่ครอบงำการคิด เกี่ยวกับการโต้แย้ง 00:04:11.419 --> 00:04:12.853 เมื่อผมพูดถึงการโต้แย้ง 00:04:12.853 --> 00:04:16.100 บางทีคุณอาจจะนึกถึง แบบที่มีศัตรูฝ่ายตรงข้าม NOTE Paragraph 00:04:16.445 --> 00:04:18.946 แต่การเปรียบเทียบกับสงคราม 00:04:18.946 --> 00:04:21.663 กระบวนทัศน์หรือรูปแบบสงคราม ที่ใช้ในการคิดถึงการโต้แย้ง 00:04:21.663 --> 00:04:24.700 ผมคิดว่ามันส่งผลบิดเบือน วิธีการโต้แย้งของเรา 00:04:25.100 --> 00:04:28.067 อย่างแรก มันทำให้วิธีการอยู่เหนือสาระสำคัญ 00:04:28.917 --> 00:04:31.093 คุณเรียนกวิชาตรรกศาสตร์ ว่าด้วยวิธีการให้เหตุผล 00:04:31.093 --> 00:04:32.823 คุณเรียนเล่ห์เหลี่ยมทั้งหมด 00:04:32.827 --> 00:04:35.657 ที่คนเราเคยใข้ และชนะการโต้แย้ง แต่มันเป็นวิธีที่ผิดพลาด 00:04:35.657 --> 00:04:38.967 มันขยายมุมมองแบบ เรา-เขา 00:04:38.967 --> 00:04:42.370 มันทำให้เกิดความขัดแย้ง สร้างการแบ่งขั้ว 00:04:42.370 --> 00:04:48.229 และผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ก็มีแค่ ชัยชนะ ชัยชนะอันสวยหรู 00:04:48.233 --> 00:04:51.309 หรือความน่าสังเวช น่าอับอายจากการพ่ายแพ้ 00:04:51.333 --> 00:04:53.056 ผมคิดว่า นี่คือผลลัพท์ที่บิดเบือน 00:04:53.056 --> 00:04:56.937 และที่เลวร้ายที่สุด ดูเหมือนมันขัดขวางไม่ให้เกิดการต่อรอง 00:04:56.937 --> 00:05:01.667 หรือการปรึกษา หรือการประนีประนอม หรือการร่วมมือ NOTE Paragraph 00:05:02.113 --> 00:05:05.064 ลองคิดถึงสิ่งนี้ คุณเเคยเข้าร่วมการโต้แย้งโดยคิดว่า 00:05:05.064 --> 00:05:08.819 "ไหนเราลอง หาข้อสรุปร่วมกัน แทนที่จะสู้กัน 00:05:08.819 --> 00:05:10.763 เราทำอะไร เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันได้บ้าง?" 00:05:10.763 --> 00:05:13.179 และผมคิดว่า การโต้แย้งแบบทำสงคราม 00:05:13.179 --> 00:05:17.606 ขัดขวางไม่ให้มีข้อยุติ การโต้แย้งด้วยรูปแบบอื่น ๆ NOTE Paragraph 00:05:17.606 --> 00:05:20.063 และสุดท้าย นี่คือสิ่งที่แย่ที่สุดจริง ๆ 00:05:20.063 --> 00:05:22.790 มันไม่ได้นำพาเราไปสู่จุดไหนเลย มันเป็นทางตัน 00:05:22.790 --> 00:05:28.576 มันเป็นเหมือนวงเวียน การจราจรที่เบียดเสียด หรือติดอยู่กับที่ในการสนธนา 00:05:28.580 --> 00:05:29.867 เราไม่ได้ไปไหนเลย 00:05:30.433 --> 00:05:31.673 และอีกสิ่งหนึ่ง 00:05:31.673 --> 00:05:34.697 ในฐานะที่เป็นผู้ให้การศึกษา มันเป็นสิ่งที่กวนใจผมมาก 00:05:34.697 --> 00:05:36.827 ถ้าการโต้แย้งคือสงคราม 00:05:36.827 --> 00:05:41.906 มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้แฝงอยู่ NOTE Paragraph 00:05:41.906 --> 00:05:43.507 ผมจะอธิบายความหมายให้ฟัง 00:05:44.067 --> 00:05:46.639 สมมุติว่าคุณกับผมโต้แย้งกัน 00:05:46.639 --> 00:05:49.633 คุณเชื่อในข้อเสนอ P แต่ผมไม่ 00:05:50.500 --> 00:05:52.408 ผมถามคุณว่า "ทำไมถึงเชื่อข้อเสนอ P" 00:05:52.408 --> 00:05:53.873 คุณให้เหตุผลของคุณ 00:05:53.873 --> 00:05:56.243 ผมไม่เห็นด้วย และตอบกลับ "แล้ว....หล่ะ" 00:05:56.247 --> 00:05:57.786 แล้วคุณก็ตอบคำถามผม 00:05:57.790 --> 00:06:00.229 แล้วผมก็ถาม "คุณหมายความว่าอย่างไร 00:06:00.229 --> 00:06:01.677 มันเอามาใช้อย่างไร ในกรณีนี้" 00:06:02.133 --> 00:06:03.756 และคุณก็ตอบคำถามผม 00:06:03.756 --> 00:06:05.483 ตอนนี้ สมมุติว่าการโต้แย้งสิ้นสุดลง 00:06:05.483 --> 00:06:07.643 ผมได้ค้าน ผมได้ถาม 00:06:07.647 --> 00:06:10.267 ผมได้ยกข้อพิจารณาแย้งทั้งหมดไปแล้ว 00:06:10.267 --> 00:06:13.870 และทุกครั้ง คุณได้ตอบสนองจนผมพึงพอใจ 00:06:13.870 --> 00:06:16.543 และดังนั้น ในท้ายที่สุด ผมพูดว่า 00:06:16.547 --> 00:06:19.900 " รู้อะไรไหม ผมว่าคุณถูกแล้ว" NOTE Paragraph 00:06:20.500 --> 00:06:22.843 ดังนั้น ผมได้ความเชื่อใหม่มา 00:06:22.867 --> 00:06:24.280 มันไม่ใช่ความเชื่อแบบทั่ว ๆ ไป 00:06:24.304 --> 00:06:30.600 มันถูกอธิบายอย่างชัดเจน ถูกตรวจสอบ มันเป็นความเชื่อที่ผ่านการประลองมาแล้ว NOTE Paragraph 00:06:31.800 --> 00:06:32.960 เกิดการเรียนรู้ที่ดี 00:06:32.964 --> 00:06:34.339 โอเค ใครชนะการโต้แย้งนี้ 00:06:35.600 --> 00:06:39.543 การโต้แย้งแบบสงคราม บังคับให้เราบอกว่าคุณเป็นฝ่ายชนะ 00:06:39.543 --> 00:06:42.306 ถึงแม้ว่า ผมเป็นฝ่ายเดียว ที่ได้รู้คิด 00:06:42.306 --> 00:06:45.973 คุณได้รับอะไร ในเชิงการรู้คิด จากการโน้มน้าวผม 00:06:45.973 --> 00:06:48.973 แน่นอน คุณได้ความพึงพอใจ อัตตาคุณอาจจะพองโต 00:06:48.973 --> 00:06:50.953 บางทีคุณอาจจะถูกยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ 00:06:50.953 --> 00:06:53.543 ในสายงานนี้ "คนนี้เป็นนักโต้แย้งที่ดี" 00:06:53.567 --> 00:06:56.543 แต่จากมุมมองการรู้คิด 00:06:56.567 --> 00:06:57.853 ใครเป็นผู้ชนะ? 00:06:57.853 --> 00:07:02.696 การเปรียบเทียบกับสงคราม บังคับให้เราคิดว่า คุณคือผู้ชนะ และผมแพ้ 00:07:02.700 --> 00:07:04.763 ถึงแม้ว่า ผมจะเป็นฝ่ายได้ 00:07:04.767 --> 00:07:07.063 มีบางอย่างไม่ถูกต้องในภาพนี้ 00:07:07.067 --> 00:07:09.776 และนั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเปลี่ยน ถ้าเราทำได้ NOTE Paragraph 00:07:09.776 --> 00:07:13.649 ฉะนั้น เราจะหาวิธีทำให้ 00:07:13.649 --> 00:07:16.733 การโต้แย้งได้ผลลัพท์ในเชิงบวกได้อย่างไร 00:07:17.633 --> 00:07:20.633 สิ่งที่เราต้องการคือ ยุทธวิธีทางออกแบบใหม่สำหรับการโต้แย้ง 00:07:21.391 --> 00:07:24.287 แต่ เราจะไม่ได้ยุทธวิธีทางออกแบบใหม่ สำหรับการโต้แย้ง 00:07:24.287 --> 00:07:27.586 จนกว่าเราจะมี วิธีการเข้าสู่การโต้แย้งแบบใหม่ 00:07:27.586 --> 00:07:30.600 เราจำเป็นต้องคิดถึง การโต้แย้งรูปแบบใหม่ ๆ 00:07:31.267 --> 00:07:33.873 เพื่อที่จะทำอย่างนั้น คือ 00:07:33.873 --> 00:07:35.533 ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร 00:07:36.100 --> 00:07:37.473 นั่นเป็นข่าวร้าย 00:07:37.473 --> 00:07:40.486 การโต้แย้งแบบสงคราม มันคือปีศาจ 00:07:40.486 --> 00:07:42.955 มันเข้ามายึดครองจิตใจของเรา 00:07:42.955 --> 00:07:45.106 และไม่มีกระสุนวิเศษ ที่จะฆ่ามันได้ 00:07:45.106 --> 00:07:47.779 ไม่มีไม้วิเศษ ที่จะทำให้มันหายไป 00:07:47.779 --> 00:07:49.319 ผมไม่มีคำตอบ NOTE Paragraph 00:07:49.333 --> 00:07:50.716 แต่ผมมีคำแนะนำ 00:07:50.716 --> 00:07:52.633 นี่คือคำแนะนำของผม 00:07:53.700 --> 00:07:55.904 ถ้าเราอยากจะคิดถึงการโต้แย้งแบบใหม่ 00:07:55.908 --> 00:07:59.567 สิ่งที่เราต้องทำก็คือ คิดถึงผู้โต้แย้งแบบใหม่ NOTE Paragraph 00:07:59.900 --> 00:08:01.833 ดังนั้น ลองนี่ดู 00:08:02.767 --> 00:08:07.209 คิดถึงบทบาททั้งหมด ที่คนเราใช้ในการโต้แย้ง 00:08:07.233 --> 00:08:10.249 มีผู้เสนอและฝ่ายตรงข้าม 00:08:10.249 --> 00:08:12.409 ที่เป็นศัตรู ในการโต้แย้งแบบวิภาษวิธี 00:08:12.409 --> 00:08:14.596 มีผู้ชม ในการโต้แย้งแบบวาทศิลป์ 00:08:14.600 --> 00:08:16.808 มีผู้มีเหตุผล ในการโต้แย้งแบบเพื่อพิสูจน์ 00:08:18.697 --> 00:08:20.076 บทบาทที่แตกต่างกันทั้งหมด 00:08:20.100 --> 00:08:23.943 ทีนี้ คุณลองจินตนาการถึงการโต้แย้ง ที่คุณเป็นผู้โต้แย้ง 00:08:23.967 --> 00:08:27.333 แต่คุณก็เป็นผู้ชมด้วย มองดูตัวเองโต้แย้ง 00:08:27.967 --> 00:08:31.009 คุณจินตนาการถึงตัวคุณ ที่กำลังมองดูตัวเองโต้แย้ง 00:08:31.033 --> 00:08:35.509 คุณแพ้ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนท้าย คุณยังคงพูดว่า 00:08:35.533 --> 00:08:38.033 "ว๊าว! นั่นเป็นการโต้แย้งที่ดีมากเลย" 00:08:39.133 --> 00:08:40.470 คุณทำได้ไหม 00:08:40.470 --> 00:08:43.792 ผมคิดว่า คุณทำได้ และผมคิดว่า ถ้าคุณสามารถจิตนาการถึงการโต้แย้งแบบที่ 00:08:43.792 --> 00:08:47.593 ผู้แพ้บอกกับผู้ชนะ และผู้ชมและผู้ตัดสิน สามารถพูดได้ว่า 00:08:47.593 --> 00:08:49.576 "ใช่ นั่นเป็นการโต้แย้งที่ดีจริงๆ" 00:08:49.600 --> 00:08:51.378 เช่นนั้น คุณก็จะมีภาพของการโต้แย้งที่ดี 00:08:51.378 --> 00:08:52.107 และมากกว่านั้น 00:08:52.107 --> 00:08:54.577 ผมคิดว่า คุณมีภาพของนักโต้แย้งที่ดี 00:08:54.577 --> 00:08:59.133 นักโต้แย้งแบบที่มีคุณค่าพอ ที่คุณควรจะลองเป็น NOTE Paragraph 00:08:59.567 --> 00:09:02.363 ตอนนี้ ผมโต้แย้งแพ้ซะเยอะ 00:09:02.363 --> 00:09:04.786 มันต้องฝึก เพื่อที่จะเป็นนักโต้แย้งที่ดี 00:09:04.790 --> 00:09:08.096 เพื่อที่จะได้ประโยชน์จากการแพ้ แต่โชคดีที่ 00:09:08.096 --> 00:09:10.607 ผมมีเพื่อนร่วมงานหลายๆ คน ที่เต็มใจจะก้าวเข้ามา 00:09:10.607 --> 00:09:12.676 และให้ความช่วยเหลือการฝึกฝนแก่ผม NOTE Paragraph 00:09:12.700 --> 00:09:13.875 ขอบคุณครับ NOTE Paragraph 00:09:13.899 --> 00:09:17.967 (เสียงปรบมือ)