1 00:00:06,677 --> 00:00:11,306 สิ่งมีชีวิตต่างกาแล็คซี่ในภาพยนต์และในโทรทัศน์ 2 00:00:11,306 --> 00:00:14,483 พูดภาษาอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร 3 00:00:14,483 --> 00:00:17,886 คำตอบสั้น ๆ ก็คือ ไม่มีใครอยากจะเห็นลูกเรือยานอวกาศ 4 00:00:17,886 --> 00:00:21,774 ใช้เวลาหลายปีในการรวบรวมพจนานุกรมเอเลียน 5 00:00:21,774 --> 00:00:23,392 แต่เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ คงเส้นคงวา 6 00:00:23,392 --> 00:00:26,789 ผู้สร้าง สตาร์ เทรค และนิยายวิทยาศาสตร์อื่น ๆ 7 00:00:26,789 --> 00:00:30,514 ได้นำแนวคิดของผู้แปลภาษาสากล 8 00:00:30,514 --> 00:00:35,012 อุปกรณ์พกพาที่สามารถแปลระหว่างภาษาใดก็ได้ ได้ในทันที 9 00:00:35,012 --> 00:00:38,539 แล้วผู้แปลภาษาสากลนี้มีอยู่จริง ๆ หรือเปล่า 10 00:00:38,539 --> 00:00:42,137 เรามีโปรแกรมมากมาย ที่อ้างว่าทำอย่างนั้นได้ 11 00:00:42,137 --> 00:00:45,954 คือนำคำ ประโยค หรือหนังสือทั้งเล่ม ที่เขียนด้วยภาษาหนึ่ง 12 00:00:45,954 --> 00:00:49,004 และแปลมันออกมาเป็นอีกภาษาหนึ่ง 13 00:00:49,004 --> 00:00:52,337 ไม่ว่ามันจะเป็นภาษาอังกฤษยุคใหม่ หรือภาษาสันสกฤตโบราณ 14 00:00:52,337 --> 00:00:55,913 และถ้าการแปลเป็นเพียงแค่ การมองหาคำในพจนานุกรม 15 00:00:55,913 --> 00:00:59,825 โปรแกรมเหล่านี้คงจะทำงานเป็นวงจร ในแบบที่มนุษย์ทำ 16 00:00:59,825 --> 00:01:03,299 อย่างไรก็ดี ในความจริง มันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น 17 00:01:03,299 --> 00:01:07,349 โปรแกรมการแปล ที่ขึ้นอยู่กับกฎการใช้ฐานข้อมูลศัพท์ 18 00:01:07,349 --> 00:01:10,302 ซึ่งรวมถึงคำทั้งหมดที่คุณจะพบได้ ในพจนานุกรม 19 00:01:10,302 --> 00:01:13,283 และรูปแบบไวยกรณ์ทั้งหมดที่พวกมันจะถูกใช้ 20 00:01:13,283 --> 00:01:18,925 และชุดของกฎเพื่อจดจำ ส่วนพื้นฐานทางภาษาของภาษาพื้นฐานที่ป้อนให้ 21 00:01:18,925 --> 00:01:22,396 สำหรับประโยคง่าย ๆ อย่างเช่น "เด็ก ๆ กินมัฟฟิน" 22 00:01:22,396 --> 00:01:27,050 โปรแกรมจะชำแหละคำศัพท์ หรือโครงสร้างไวยกรณ์ 23 00:01:27,050 --> 00:01:29,587 โดยบ่งชี้ว่า เด็ก ๆ เป็นประธาน 24 00:01:29,587 --> 00:01:32,317 และที่เหลือในประโยคนั้นเป็นภาคแสดง 25 00:01:32,317 --> 00:01:34,368 ที่ประกอบด้วย คำกริยา "กิน" 26 00:01:34,368 --> 00:01:37,422 และกรรมตรง "มัฟฟิน" 27 00:01:37,422 --> 00:01:40,249 จากนั้นมันต้องจดจำสัณฐานวิทยาของภาษาอังกฤษ 28 00:01:40,249 --> 00:01:44,681 หรือว่าภาษานั้นสามารถถูกแบ่งย่อยลงมา เป็นส่วนเล็กที่สุดที่มีความหมายได้อย่างไร 29 00:01:44,681 --> 00:01:46,124 อย่างเช่นคำว่า มัฟฟิน 30 00:01:46,124 --> 00:01:49,755 และส่วนต่อท้ายคำ "s" ที่ใช้เพื่อบ่งบอกนามพหูพจน์ 31 00:01:49,755 --> 00:01:52,449 ท้ายที่สุด มันต้องเข้าใจอรรถศาสตร์ 32 00:01:52,449 --> 00:01:56,178 ว่าแต่ละส่วนของประโยชน์ มีความหมายจริง ๆ ว่าอย่างไร 33 00:01:56,178 --> 00:01:58,074 เพื่อแปลประโยคนี้อย่างเหมาะสม 34 00:01:58,074 --> 00:02:01,982 โปรแกรมจะอ้างอิงถึงคำศัพท์และกฎต่าง ๆ 35 00:02:01,982 --> 00:02:05,166 สำหรับแต่ละส่วนของภาษาเป้าหมาย 36 00:02:05,166 --> 00:02:07,020 แต่นี่คือตอนที่มันซับซ้อน 37 00:02:07,020 --> 00:02:11,820 คำศัพท์ของบางภาษา ยอมให้คำเรียงอยู่ในลำดับใดก็ได้ 38 00:02:11,820 --> 00:02:16,954 ในขณะที่ในบางภาษา การทำเช่นนั้นอาจทำให้ มัฟฟินกินเด็ก 39 00:02:16,954 --> 00:02:19,647 สัณฐานวิทยาของภาษายังสามารถก่อปัญหาได้ 40 00:02:19,647 --> 00:02:23,243 ภาษาสโลวาเนียแยกระหว่าง เด็กสองคน และสามคน หรือมากกว่า 41 00:02:23,243 --> 00:02:27,097 โดยการใช้ส่วนเติมหน้าคำสองคำ ที่ไม่มีในหลาย ๆ ภาษา 42 00:02:27,097 --> 00:02:30,532 ในขณะที่ภาษารัสเซียที่ไม่มีคำนำหน้าที่แน่นอน อาจทำให้คุณงงว่า 43 00:02:30,532 --> 00:02:33,575 เด็กกำลังกินมัฟฟินจำเพาะเจาะจงอันไหนสักอัน 44 00:02:33,575 --> 00:02:36,719 หรือแค่กินมัฟฟินทั่ว ๆ ไป 45 00:02:36,719 --> 00:02:39,708 ท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าอรรถศาสตร์ถูกต้องตามเทคนิค 46 00:02:39,708 --> 00:02:42,757 โปรแกรมอาจพลาดในจุดที่ละเอียด 47 00:02:42,757 --> 00:02:45,809 เช่น เมื่อใดที่เด็ก ๆ "แมนจิโน" มัฟฟิน 48 00:02:45,809 --> 00:02:47,794 หรือ "ดิโบราโน" พวกมัน 49 00:02:47,794 --> 00:02:51,558 อีกวิธีคือการใช้เครื่องแปลแบบสถิติ 50 00:02:51,558 --> 00:02:55,762 ซึ่งวิเคราะห์ฐานข้อมูลหนังสือ บทความ และเอกสาร 51 00:02:55,762 --> 00:02:59,488 ที่ได้ถูกแปลเอาไว้แล้วโดยมนุษย์ 52 00:02:59,488 --> 00:03:02,959 โดยการหาสิ่งที่เหมือนกันระหว่างแหล่ง กับข้อความที่ถูกแปล 53 00:03:02,959 --> 00:03:05,393 ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเพราะการสุ่มเดา 54 00:03:05,393 --> 00:03:09,345 โปรแกรมสามารถบ่งบอกได้ ถึงวลีและรูปแบบที่เกี่ยวข้อง 55 00:03:09,345 --> 00:03:12,429 และใช้พวกมันสำหรับการแปลในอนาคต 56 00:03:12,429 --> 00:03:14,969 อย่าไรก็ดี คุณภาพของการแปลแบบนี้ 57 00:03:14,969 --> 00:03:17,690 ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลภายใน 58 00:03:17,690 --> 00:03:21,357 และการปรากฎอยู่ของตัวอย่าง ของภาษานั้นๆ 59 00:03:21,357 --> 00:03:23,383 หรือรูปแบบของการเขียน 60 00:03:23,383 --> 00:03:27,140 อุปสรรค์ที่คอมพิวเตอร์มีต่อข้อยกเว้น ความไม่แน่นอน 61 00:03:27,140 --> 00:03:30,994 และระดับของความหมาย ที่อาจทำให้มันแตกต่างสำหรับคนเรา 62 00:03:30,994 --> 00:03:35,045 นำไปสู่งานวิจัยที่เชื่อว่า ความเข้าในในภาษาของเรานั้น 63 00:03:35,045 --> 00:03:39,251 เป็นผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์ ของโครงสร้างทางชีวภาพของสมอง 64 00:03:39,251 --> 00:03:43,101 อันที่จริง หนึ่งในนักแปลสากลในนิยาย ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด 65 00:03:43,101 --> 00:03:46,439 คือ ปลาบาเบล จาก "เดอะ ฮิทช์ไฮเกอส์ ไกด์ ทู เดอะ กาแล็คซี" 66 00:03:46,439 --> 00:03:49,726 ไม่ใช่เครื่องอะไรเลย แต่เป็นสัตว์เล็กๆ 67 00:03:49,726 --> 00:03:54,210 ที่เปลี่ยนคลื่นสมอง และสัญญาณประสาทของสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ 68 00:03:54,210 --> 00:03:57,005 ผ่านรูปแบบของการส่งกระแสจิต 69 00:03:57,005 --> 00:03:59,726 ตอนนี้ การเรียนภาษาแบบวิธีดั้งเดิม 70 00:03:59,726 --> 00:04:05,106 จะยังให้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพดีกว่า เมื่อเทียบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีอยู่ 71 00:04:05,106 --> 00:04:06,749 แต่นี่ไม่ใช่อะไรง่าย ๆ 72 00:04:06,749 --> 00:04:09,014 และจำนวนคร่าว ๆ ของภาษาในโลกนี้ 73 00:04:09,014 --> 00:04:12,989 เช่นเดียวกันกับ การเพิ่มขึ้นของการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้ที่พูดภาษาเหล่านั้น 74 00:04:12,989 --> 00:04:18,004 จะกระตุ้นความก้าวหน้าของการแปลอัตโนมัติ ต่อไปอย่างต่อเนื่อง 75 00:04:18,004 --> 00:04:21,409 บางที เมื่อถึงเวลา ที่เราจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก 76 00:04:21,409 --> 00:04:24,660 เราจะสามารถสื่อสารกับพวกเขาผ่านอุปกรณ์เล็ก ๆ 77 00:04:24,660 --> 00:04:29,026 หรือที่สุดแล้ว เราอาจต้อง เริ่มที่จะรวบรวมพจนานุกรมดังกล่าว