0:00:07.255,0:00:10.812 หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก[br]เป็นหนึ่งในไม่กี่แนวคิด 0:00:10.812,0:00:14.686 ของควอนตัมฟิสิกส์[br]ที่ได้ขยายไปสู่วัฒนธรรมสมัยนิยม 0:00:14.686,0:00:20.462 มันบอกว่าเราไม่สามารถที่จะทราบตำแหน่ง[br]และความเร็วที่แน่นอนของวัตถุ ในเวลาเดียวกันได้ 0:00:20.462,0:00:22.893 มันไปโผล่ในฐานะอุปลักษณ์ในทุกๆ เรื่อง 0:00:22.893,0:00:26.409 ตั้งแต่การวิจารณ์วรรณกรรม[br]ไปจนถึงเรื่องกีฬา 0:00:26.409,0:00:29.429 ความไม่แน่นอนมักถูกอธิบายว่า[br]เป็นผลที่เกิดจากขั้นตอนการวัด 0:00:29.429,0:00:34.561 การลงมือวัดตำแหน่งของวัตถุได้เปลี่ยนความเร็วของมัน[br]หรือ เช่นกันในทางตรงข้าม 0:00:34.561,0:00:38.378 จุดกำเนิดของหลักการนี้[br]ลึกซึ้งและน่าทึ่งกว่านี้มาก 0:00:38.378,0:00:41.759 หลักความไม่แน่นอนดำรงอยู่[br]เพราะว่าทุกสิ่งในเอกภพ 0:00:41.759,0:00:46.318 ประพฤติตัวเสมือนเป็นอนุภาคและคลื่น[br]ในเวลาเดียวกัน 0:00:46.318,0:00:50.458 ในกลศาสตร์ควอนตัม ตำแหน่งที่แน่นอน[br]และความเร็วที่แน่นอนของวัตถุ 0:00:50.458,0:00:51.896 ไม่มีความหมายใดๆ 0:00:51.896,0:00:53.147 เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องนี้ 0:00:53.147,0:00:57.053 เราจำเป็นต้องคิดว่าการประพฤติตัวเหมือนอนุภาค [br]หรือคลื่น นั้นหมายถึงอะไร 0:00:57.053,0:01:01.857 โดยนิยามแล้วอนุภาค[br]จะอยู่ในสถานที่หนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง 0:01:01.857,0:01:06.356 เราสามารถแสดงให้เห็นโดยใช้กราฟ[br]บอกความน่าจะเป็นในการพบวัตถุ 0:01:06.356,0:01:09.030 ที่ตำแหน่งหนึ่งๆ[br]ซึ่งกราฟจะมีลักษณะเป็นยอดแหลมอันเดียว 0:01:09.030,0:01:13.707 โดยมีโอกาสพบวัตถุ 100% ที่ตำแหน่งหนึ่ง [br]และเป็นศูนย์ในตำแหน่งที่เหลือ 0:01:13.707,0:01:17.621 ในทางกลับกัน คลื่น คือ [br]การเคลื่อนที่ของการรบกวนแผ่ไปยังที่ว่าง 0:01:17.621,0:01:20.338 เหมือนคลื่นที่แผ่ปกคลุมผิวน้ำในบ่อ 0:01:20.338,0:01:23.767 เราสามารถบ่งบอกคุณสมบัติต่างๆ [br]ของคลื่นได้ในภาพรวม 0:01:23.767,0:01:25.933 อันที่สำคัญสุด ได้แก่ ความยาวคลื่น 0:01:25.933,0:01:28.640 ที่เป็นระยะห่างระหว่างสันคลื่นที่อยู่ติดกัน 0:01:28.640,0:01:30.459 หรือ ระยะห่างของท้องคลื่นที่อยู่ติดกัน 0:01:30.459,0:01:33.017 แต่เราไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของมันได้ 0:01:33.017,0:01:36.282 มันมีโอกาสที่จะเจอคลื่นในหลายๆ ตำแหน่ง 0:01:36.282,0:01:39.099 ความยาวคลื่นมีความสำคัญในควอนตัมฟิสิกส์ 0:01:39.099,0:01:42.419 เพราะว่า ความยาวคลื่นของวัตถุ[br]สัมพันธ์กับโมเมนตัมของมัน 0:01:42.419,0:01:44.024 ซึ่งคือ มวลคูณกับความเร็ววัตถุ 0:01:44.024,0:01:46.909 วัตถุที่เคลื่อนที่เร็วจะมีโมเมนตัมมาก 0:01:46.909,0:01:50.019 ซึ่งส่งผลให้มันมีความยาวคลื่นที่สั้นมาก 0:01:50.019,0:01:54.179 วัตถุที่มีมวลมากจะมีโมเมนตัมมาก[br]ถึงแม้ว่ามันจะเคลื่อนที่ไม่เร็ว 0:01:54.179,0:01:56.966 ซึ่งทำให้มันมีความยาวคลื่นที่สั้นมากเช่นเดียวกัน 0:01:56.966,0:02:00.837 นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่สังเกตเห็นความเป็นคลื่น[br]ของวัตถุต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 0:02:00.837,0:02:02.644 ถ้าคุณขว้างลูกเบสบอลขึ้นไปบนฟ้า 0:02:02.644,0:02:07.029 ความยาวคลื่นของมันจะเท่ากับ [br]1/10 ยกกำลัง 33 เมตร 0:02:07.029,0:02:09.364 เล็กมากเกินกว่าจะสังเกตเห็น 0:02:09.364,0:02:12.324 วัตถุเล็กๆ เช่น อะตอม หรือ อิเล็คตรอน 0:02:12.324,0:02:16.142 มีความยาวคลื่นมากพอที่จะวัดได้[br]จากการทดลองทางฟิสิกส์ 0:02:16.142,0:02:20.735 ถ้าเรามีคลื่นหนึ่ง เราจะสามารถวัดความยาวคลื่น[br]และโมเมนตัมของมันได้ 0:02:20.735,0:02:23.101 แต่จะไม่สามารถวัดตำแหน่งของมันได้ 0:02:23.101,0:02:25.248 เราสามารถทราบตำแหน่งของอนุภาคได้เป็นอย่างดี 0:02:25.248,0:02:28.489 แต่มันไม่มีความยาวคลื่น [br]ดังนั้นเราจึงไม่ทราบโมเมนตัมของมัน 0:02:28.489,0:02:31.600 การจะทราบทั้งตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาค 0:02:31.600,0:02:33.760 เราจำเป็นต้องรวมภาพสองภาพเข้าด้วยกัน 0:02:33.760,0:02:37.163 เพื่อสร้างกราฟที่มีคลื่น[br]แต่จำกัดให้อยู่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ 0:02:37.163,0:02:38.800 จะทำมันได้อย่างไร 0:02:38.800,0:02:41.554 ก็โดยการรวมคลื่น[br]ที่มีความยาวคลื่นต่างๆ เข้าด้วยกัน 0:02:41.554,0:02:46.528 ซึ่งทำให้อนุภาคควอนตัม[br]มีโอกาสมีค่าโมเมนตัมได้หลายค่า 0:02:46.528,0:02:49.282 เมื่อเรารวมคลื่น 2 อันเข้าด้วยกัน[br]เราพบว่ามันมีบริเวณ 0:02:49.282,0:02:52.055 ที่สันคลื่นเรียงกันทำให้เป็นคลื่นที่ใหญ่ขึ้น 0:02:52.055,0:02:55.821 และบริเวณที่สันคลื่นหนึ่ง[br]ไปซ้อนทับท้องคลื่นอีกอันหนึ่ง 0:02:55.821,0:02:58.279 ผลก็คือ เราจะได้บริเวณที่เราพบคลื่น 0:02:58.279,0:03:01.106 คั่นด้วยบริเวณที่ราบเรียบไม่มีคลื่น 0:03:01.106,0:03:02.590 ถ้าเราเพิ่มคลื่นอันที่ 3 เข้าไป 0:03:02.590,0:03:05.709 บริเวณที่ไม่มีคลื่นก็จะกว้างขึ้นไปอีก 0:03:05.709,0:03:09.891 เพิ่มคลื่นอันที่ 4 มันก็จะกว้างขึ้นไปอีก[br]พร้อมกับส่วนที่มีคลื่นจะแคบลงเรื่อยๆ 0:03:09.891,0:03:13.089 ถ้าเราเพิ่มคลื่นเข้าไปเรื่อยๆ[br]เราก็จะได้กลุ่มคลื่นเล็กๆ อันหนึ่ง 0:03:13.089,0:03:16.168 ที่มีควาวยาวคลื่นชัดเจน อยู่ในบริเวณแคบๆ 0:03:16.168,0:03:20.224 มันคือ วัตถุควอนตัม [br]ที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค 0:03:20.224,0:03:23.311 การจะได้คุณสมบัตินี้มา [br]เราต้องแลกกับความแน่นอน 0:03:23.311,0:03:25.805 เกี่ยวกับตำแหน่งและโมเมตัม 0:03:25.805,0:03:28.223 ตำแหน่งจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่จุดเดียวอีกต่อไป 0:03:28.223,0:03:30.918 มันมีโอกาสที่จะพบอนุภาคที่ตำแหน่งต่างๆ 0:03:30.918,0:03:32.837 รอบๆ ศูนย์กลางของกลุ่มคลื่นนั้น 0:03:32.837,0:03:35.586 ซึ่งกลุ่มคลื่นนั้นเกิดจากการรวมกันของคลื่นมากมาย 0:03:35.586,0:03:38.012 ซึ่งความว่า มันมีโอกาสที่จะพบอนุภาค 0:03:38.012,0:03:41.291 โดยมันจะมีโมเมนตัมเป็นของคลื่นย่อยอันไหนก็ได้ 0:03:41.291,0:03:44.740 ตอนนี้ทั้งโมเมนตัมและตำแหน่ง มีความไม่แน่นอน 0:03:44.740,0:03:46.816 และความไม่แน่นอนนั้นเกี่ยวโยงกัน 0:03:46.816,0:03:49.209 ถ้าคุณต้องการลดความไม่แน่นอนของตำแหน่ง 0:03:49.209,0:03:52.628 โดยการทำให้กลุ่มคลื่นมีขนาดเล็กลง[br]ซึ่งจำเป็นต้องเพิ่มคลื่นเข้าไปอีก 0:03:52.628,0:03:54.865 ซึ่งทำให้ความไม่แน่นอนของโมเมนตัม[br]มากขึ้นไปด้วย 0:03:54.865,0:03:58.047 แต่ถ้าคุณต้องการค่าโมเมนตัมที่ชัดเจนขึ้น[br]ก็จำเป็นต้องทำให้กลุ่มคลื่นมีขนาดใหญ่ขึ้นไปด้วย 0:03:58.047,0:04:01.012 ซึ่งทำให้ความไม่แน่นอนของตำแหน่งมีมากขึ้น 0:04:01.012,0:04:03.221 นี่ก็คือ หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก 0:04:03.221,0:04:08.207 ถูกกล่าวถึงครั้งแรก โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน[br]แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg)[br]ในค.ศ. 1927 0:04:08.207,0:04:12.589 ความไม่แน่นอนที่มี ไม่ได้เป็นผลมากจากวิธีการวัด 0:04:12.589,0:04:17.107 แต่เป็นผลที่เลี่ยงไม่ได้จากธรรมชาติ[br]ที่มีร่วมกันของอนุภาคและคลื่น 0:04:17.107,0:04:20.663 หลักความไม่แน่นอนไม่เพียงแต่[br]เป็นข้อจำกัดของการวัดในทางปฏิบัติ 0:04:20.663,0:04:23.733 แต่มันยังไปจำกัด[br]ถึงคุณสมบัติใดก็ตามที่วัตถุสามารถมีได้ 0:04:23.737,0:04:27.777 ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้างที่เป็นรากฐานของเอกภพ