นี่คือคำถามสำคัญ [มันถูกต้องทางจริยธรรมหรือไม่ ที่จะทำให้ร่างกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการ] เพราะว่าเราเริ่มที่จะมีเครื่องมือ ในการใช้วิวัฒนาการตัวเราเอง และเราสามารถทำให้แบคทีเรีย พืช และสัตว์ มีวิวัฒนาการได้ และตอนนี้เรากำลังไปถึงจุด ที่เราต้องถามจริง ๆ กันแล้วว่า มันถูกต้องทางจริยธรรมและเราต้องการ ให้ร่างกายมนุษย์มีวิวัฒนาการหรือเปล่า และในขณะที่คุณกำลังคิดอยู่ ให้ผมพูดถึงมัน ในบริบทของศาสตร์ด้านกายอุปกรณ์ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นี่คือมือเหล็ก ที่เป็นของท่านเคาต์ชาวเยอรมันคนหนึ่ง เขารักในการต่อสู้ และเสียแขนข้างหนึ่งในการสู้รบ ไม่มีปัญหา เขาสร้างชุดเกราะขึ้นมา สวมมัน เป็นอวัยวะเทียมที่สมบูรณ์แบบ นั่นเป็นที่มาของแนวคิด การปกครองโดยกำปั้นเหล็ก และแน่นอนว่าอวัยวะเทียมเหล่านี้ มีประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ และดูทันสมัยมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณสามารถถือไข่ต้นเอาไว้ได้ คุณสามารถควบคุมมันได้ทุกอย่าง และถ้าคุณลองคิดดู มีคนเจ่ง ๆ อย่าง ฮิวจ์ เฮอร์ ผู้ที่ได้สร้างอวัยวะเทียมแสนจะไม่ธรรมดา เอมี มุลลินส์ จะออกมาบอกว่า คืนนี้ฉันอยากสูงสักเท่าไรดีนะ หรือเขาจะบอกว่า ผมจะปีนผาแบบไหนดีนะ หรือใครสักคนอยากจะวิ่งมาราธอน หรือใครบางคนอยากจะเต้นลีลาศ และเมื่อคุณปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับอวัยวะเทียม ก็คือพวกมันเริ่มเข้าไปอยู่ในร่างกาย ฉะนั้น อวัยวะเทียมภายนอกเหล่านี้ ตอนนี้ได้กลายเป็นเข่าประดิษฐ์ พวกมันกลายเป็นสะโพกประดิษฐ์ และจากนั้นพวกมันก็มีวิวัฒนาการต่อไป เพื่อเป็นสิ่งที่ไม่เพียงแค่ทำให้คุณอยากได้ แต่เป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี ฉะนั้น เมื่อคุณพูดถึงเครื่องคุมจังหวะ การเต้นของหัวใจว่าเป็นอวัยวะเทียม คุณกำลังพูดถึงบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "เหมือนขาขาดไปข้างหนึ่ง" แต่มันเป็น "ถ้าไม่ได้น่ะ ฉันตายแน่" และที่จุดนั้น อวัยวะเทียม ก็จะมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน กับร่างกายของมนุษย์ และคนที่ฉลาดที่สุดทั้งสี่คน เท่าที่ผมเคยพบเจอมานั้น ซึ่งได้แก่ เอ็ด บอยเดน, ฮิวจ์ เฮอร์, โจ จาคอปสัน และบ๊อบ แบนเดอร์ กำลังทำงานอยู่ที่ ศูนย์เพื่อชีวประดิษฐศาสตร์ขั้นสูง และสิ่งที่คุณกำลังดูอยู่นี้ มีความน่าสนใจก็เพราะว่า คืออวัยวะเทียมเหล่านี้ ตอนนี้ถูกรวมเข้ากับกระดูก พวกมันถูกรวมเข้ากับผิวหนัง พวกมันถูกรวมเข้ากับกล้ามเนื้อ และอีกด้านหนึ่งของเอ็ด ก็คือเขากำลังคิดว่า จะเชื่อมต่อสมองโดยตรง โดยใช้แสงหรือกลไกอื่น ๆ เข้ากับสิ่งต่าง ๆ เช่นอวัยวะเทียมได้อย่างไร และถ้าคุณสามารถทำอย่างนั้นได้ คุณก็จะสามารถเริ่มที่จะเปลี่ยน มุมมองขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติได้ แล้วคุณจะตอบสนองต่อสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นประสาทได้เร็วแค่ไหน และแน่นอน ถ้าคุณมีเส้นประสาทที่อยู่ภายนอก หรือเป็นอวัยวะเทียม สมมติว่าใช้แสงหรือโลหะเหลว แล้วคุณจะสามารถเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางนั้น และตามทฤษฎีคุณจะสามารถเพิ่มมันไปถึงจุดหนึ่ง ที่เสมือนว่าตราบใดที่คุณยังเห็นแสงจากปลายปืน คุณก็ยังสามารถหลบกระสุนได้ นั่นเป็นลำดับขนาดของความเปลี่ยนแปลง ที่เรากำลังพูดถึง นี่เป็นระดับแนวหน้าของอวัยวะเทียม นี่คือ เครื่องช่วยฟังโฟเนค (Phonak) และเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงน่าสนใจ ก็เพราะว่าพวกมันก้าวข้ามจุดที่ อวัยวะเทียมเป็นอะไรบางอย่าง สำหรับใครบางคนที่ "พิการ" และพวกมันกลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่คนที่เป็น "ปกติ" อาจอยากที่จะมี เพราะที่น่าสนใจก็คืออวัยวะเทียมนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการฟังของคุณ คุณสามารถเพ่งการฟังของคุณ มันจึงสามารถได้ยินการสนทนา ที่เกิดขึ้นตรงนั้นได้ คุณอาจมีสุดยอดความสามารถการได้ยิน คุณสามารถได้ยินแบบ 360 องศา แบบไร้เสียงรบกวน คุณสามารถบันทึก แล้วก็ พวกเขายังเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไป ฉะนั้น มันจึงทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องช่วยฟัง และเป็นโทรศัพท์ด้วย และจุดนี้เอง ใครบางคนอาจต้องการ อวัยวะเทียมอย่างสมัครใจ ชิ้นส่วนต่าง ๆ นับพันที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวม ๆ เข้ามาอยู่ด้วยกัน และนี่ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะถามว่า เราต้องการให้มนุษย์มีวิวัฒนาการ ในช่วงหนึ่งถึงสองศตวรรษข้างหน้าอย่างไร และด้วยเหตุนี้ พวกเราได้กลายเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ฉลาดหลักแหลม แม้ว่าจะเป็นสาวกทีมเบสบอลแยงกี้ (เสียงหัวเราะ) และโยกิ เบอร์รา เคยกล่าวไว้ว่า แน่ล่ะ มันยากมากที่เราจะคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอนาคต (เสียงหัวเราะ) ฉะนั้น แทนที่จะคาดเดาเรื่องอนาคต เราลองมาเริ่มกันด้วยเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่คนอย่าง โทนี่ อทาลา ผู้ออกแบบอวัยวะประมาณ 30 ชนิด และบางทีสุดยอดอวัยวะเทียม อาจไม่ได้ทำมาจากสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่าง ไทเทเนียม บางทีสุดยอดอวัยวะเทียม คือการนำรหัสทางพันธุกรรมของคุณเอง มาทำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคุณเอง เพราะว่านั่นมันมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า อวัยวะเทียมแบบอื่น ๆ แต่ในขณะที่คุณอยู่ที่จุดนั้นแล้ว คุณอาจนำงานของเครก เวนเตอร์ และแฮม สมิท และสิ่งหนึ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ ก็คือพยายามเข้าใจ ว่าจะรีโปรแกรมเซลล์ และถ้าคุณสามารถรีโปรแกรมเซลล์ได้ คุณก็จะสามารถเปลี่ยนเซลล์ ในอวัยวะเหล่านั้นได้ แล้วถ้าคุณสามารถเปลี่ยนเซลล์ในอวัยวะเหล่านั้นได้ บางที คุณก็อาจสร้างอวัยวะ ที่ทนทานต่อรังสีได้มากกว่าเดิม บางที คุณอาจทำให้มันดูดซับออกซิเจนได้มากกว่าเดิม บางที คุณอาจทำให้พวกมันมีประสิทธิภาพ ในการกรองสารที่คุณไม่ต้องการออกจากร่างกาย และตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา จอห์จ เชิร์จ ออกข่าวบ่อย ๆ เพราะว่าเขาได้พูดถึง การนำจีโนมทั้งชุดของมนุษย์ เข้าไปในเซลล์ที่ถูกรีโปรแกรมนั้น และเมื่อคุณสามารถแทรกจีโนมทั้งชุดของมนุษย์ เข้าไปในเซลล์ได้แล้ว คุณก็จะเริ่มถามคำถามว่า คุณอยากจะส่งเสริมจีโนมใดในนั้นหรือเปล่า คุณอยากจะส่งเสริมร่างกายมนุษย์หรือเปล่า คุณต้องการจะส่งเสริมร่างกายมนุษย์อย่างไร ตรงไหนที่มันถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะส่งเสริมร่างกายมนุษย์ และตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง และทันใดนั้น สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ ก็คือกระดานหมากรุกหลายมิติ ที่เราสามารถเปลี่ยนพันธุกรรมของมนุษย์ โดยการใช้ไวรัส เพื่อตอบโต้สิ่งต่าง ๆ เช่น เอดส์ หรือเราสามารถเปลี่ยนรหัสพันธุกรรม ผ่านการบำบัดด้วยยีน เพื่อที่จะกำจัดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางอย่าง หรือเราอาจเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนการแสดงออกของยีนในเอพิจีโนม และส่งต่อมันไปให้กับลูกหลานของเรา และทันใดนั้นเอง มันก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อย มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น ที่ทำให้คุณสามารถนำส่วนเล็ก ๆ จากมัน จนกระทั่งทุกส่วนเหล่านั้นเข้ามาหลอมรวมกัน และนำคุณไปสู่อะไรบางอย่าง ที่แตกต่างออกไปมาก และคนมากมายก็หวาดกลัวต่อสิ่งนี้ และมันก็ฟังดูน่ากลัวและก็มีความเสี่ยง แล้วทำไมคุณต้องอยากทำสิ่งเหล่านี้ล่ะ ทำไมคุณถึงอยากจะเปลี่ยนร่างกายมนุษย์ ในระดับขั้นรากฐานกันเลย คำตอบนั้นอยู่ในส่วน ของ ลอร์ด รีส์ นักดาราศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร และหนึ่งในวาทะเด็ดของเขาก็คือ จักรวาลนั้นอันตราย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่า ถ้าคุณสุ่มนำร่างกายของใครก็ตาม ไปทิ้งไว้ในจักรวาลสักแห่ง ทิ้งในอวกาศ คุณตาย ทิ้งบนดวงอาทิตย์ คุณตาย ทิ้งบนพื้นผิวของดาวพุธ คุณตาย ทิ้งไว้ใกล้ ๆ กับซุปเปอร์โนวา คุณตาย แต่โชคดี มันมีประสิทธิภาพเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่นักฟิสิกส์ชื่อดังเคยกล่าวไว้ มีต้นน้ำวนแห่งชีวภาพ ที่สร้างระเบียบในเอนโทรปีที่เชี่ยวกราดนี้ ฉะนั้น เมื่อจักรวาลค่อย ๆ ใช้พลังงานไปเรื่อย ๆ กระแสต้นน้ำเหล่านี้จะสร้างระเบียบทางชีวภาพ เอาล่ะ ปัญหาของกระแสต้นน้ำนี้ก็คือ พวกมันมักจะค่อย ๆ หายไป พวกมันเปลี่ยนแปลง พวกมันเคลื่อนไปในแม่น้ำลำธาร และเพราะด้วยเหตุนี้ เมื่อกระแสเปลี่ยนแปลงไป เมื่อโลกกลายเป็นก้อนหิมะ เมื่อโลกร้อนระอุ เมื่อโลกถูกดาวหางพุ่งชน เมื่อมีภูเขาไฟยักษ์อยู่บนโลก เมื่อมีการประทุของดวงอาทิตย์ เมื่ออาจเกิดเหตุการณ์ ที่มีระดับความรุนแรงถึงการสูญพันธ์ุ เทียบเท่ากับการเลือกตั้งครั้งถัดไป (เสียงหัวเราะ) เมื่อนั่น มันก็อาจเกิดการสูญพันธุ์ตามลำดับ และจะว่าไป นั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ถึงห้าครั้ง และถึงกระนั้น มันก็น่าจะเป็นไปได้มาก ว่าสายพันธุ์มนุษย์บนโลก กำลังจะสูญพันธุ์ในสักวันหนึ่ง ไม่ใช่สัปดาห์หน้า ไม่ใช่เดือนหน้า แต่บางทีอาจเป็นในเดือนพฤศจิกายน ในอีก 10,000 ปีข้างหน้า เมื่อคุณลองคิดถึงผลที่ตามมา ถ้าคุณเชื่อว่าการสูญพันธุ์ เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับแล้วละก็ มันก็การกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะทำให้สายพันธุ์ของเรามีความหลากหลาย และมันก็จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรม เพราะว่ามันคงยากน่าดูที่จะมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ถ้าคุณไม่ดัดแปลงร่างกายมนุษย์ในระดับขึ้นพื้นฐาน ใช่ไหมครับ คุณเกิดจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว จากแม่และพ่อมาหลอมรวมกัน เพื่อเกิดเป็นอีกเซลล์หนึ่ง ที่จะกลายไปเป็นอีก 10 ล้านล้านเซลล์ คุณไม่รู้หรอกว่า ถ้าคุณเปลี่ยนแรงโน้มถ่วงอย่างมีนัยสำคัญ กระบวนการที่ทำให้เกิดร่างกายของคุณ จะเกิดขึ้นในแบบเดิมหรือเปล่า เรารู้ว่า ถ้าร่ายกายของคุณในแบบตอนนี้ ได้รับรังสีปริมาณมาก เราจะตาย ฉะนั้น ถ้าคุณลองคิดดู คุณจะต้องออกแบบสิ่งต่าง ๆ ใหม่ เพื่อจะไปยังดาวอังคาร ลืมเรื่องดวงจันทร์ของเนปจูน หรือของดาวพฤหัสไปก่อน และขอยืมคำพูดมาจากนิโคไล คาร์ดาเชฟ ลองนึกถึงชีวิตในแบบรุ่นระดับ ฉะนั้น อารยธรรมชีวิตที่หนึ่ง คืออารยธรรมที่เริ่มจะเปลี่ยนแปลง ลักษณะของเขาหรือเธอ และเราได้ทำอย่างนั้นมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว คุณมีตับไตไส้พุง และมีนี่นู่นนั่น และคุณก็เปลี่ยนลักษณะของคุณ และผมก็รู้มาว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางการแพทย์ (เสียงหัวเราะ) มันฟังดูแปลก อารยธรรมชีวิตที่สอง เป็นอารยธรรมที่ต่างออกไป อารยธรรมชีวิตที่สองเปลี่ยนแปลง ลักษณะพื้นฐานของร่างกาย ฉะนั้น คุณเอาฮอร์โมนการเติบโตของมนุษย์ใส่เข้าไป มนุษย์ก็สูงขึ้น หรือเอาตัวประหนึ่งเข้าไป และคนก็มีเมตาบอลิซึมหนึ่งเร็วขึ้นหรือช้าลง หรือทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่าง แต่คุณกำลังเปลี่ยนหน้าที่การทำงาน ในแบบพื้นฐาน เพื่อที่จะกลายเป็นอารยธรรมอวกาศ เรากำลังที่จะต้องสร้างอารยธรรมชีวิตที่สาม และนั่นมันดูต่างออกไป จากสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ บางทีคุณอาจเติม ดีอิโนคอคคัส เรดิโอดูแรนส์ เพื่อที่เซลล์จะสามารถแบ่งตัวได้อีก หลังจากถูกรังสีในปริมาณมาก บางทีคุณอาจหายใจโดยใช้ออกซิเจน ที่ไหลอยู่ในเลือดของคุณ แทนที่จะผ่านปอดของคุณ แต่คุณกำลังพูดถึงการออกแบบ ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจ ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก็คือเราได้ค้นพบดาวเคราะห์มากมาย และบางดวงก็มีลักษณะคล้ายโลก ปัญหาก็คือ ถ้าเราอยากที่จะไปยังดาวเคราะห์เหล่านั้น สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่เดินทางได้เร็วที่สุด ก็คือ จูโน และ โวยาเจอร์ และอะไรเหล่านี้ ใช้เวลาเป็นพัน ๆ ปี เพื่อจะเดินทางจากตรงนี้ ไปถึงระบบสุริยจักรวาลที่ใกล้ที่สุด ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการ เริ่มสำรวจหาดทรายที่อื่น หรือคุณต้องการดูดวงอาทิตย์สองดวงตกดิน เมื่อคุณกำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างไปมาก เพราะว่าคุณจะต้องเปลี่ยนกำหนดเวลา และร่างกายของมนุษย์ ในแบบซึ่งอาจไม่อาจเห็นเค้าเดิมได้เลย และนั่นคืออารยธรรมชีวิตที่สี่ ทีนี้ เราไม่อาจเริ่มจินตนาการได้ ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่เราอาจเริ่มเห็นภาพลาง ๆ ของเครื่องไม้เครื่องมือ ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น และให้ผมได้ยกตัวอย่างให้คุณฟัง สักสองตัวอย่าง นี่คือ ฟลอยด์ โรมส์เบิร์ก ผู้น่าทึ่ง และหนึ่งในสิ่งที่ ฟลอยด์ กำลังทำก็คือ เขาได้ทดลองศึกษา เกี่ยวกับสารเคมีพื้นฐานของชีวิต ทุกชีวิตในดาวเคราะห์นี้ สร้างขึ้นมาจาก ATCG ซึ่งคือตัวอักษรทั้งสี่ของดีเอ็นเอ แบคทีเรียทุกชนิด พืชทุกชนิด สัตว์ทุกชนิด คนทุกคน วัวทุกตัว ทุก ๆ อย่าง และสิ่งที่ ฟลอยด์ ทำก็คือเขาเปลี่ยนสองคู่เบส ทำให้มันกลายเป็น ATXY และนั่นหมายความว่า ตอนนี้ คุณมีระบบคู่ขนานในการสร้างชีวิต เพื่อสร้างเด็กทารก เพื่อสืบพันธุ์ เพื่อมีวิวัฒนาการ ที่ไม่สามารถผสมพันธุ์ กับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกได้ หรืออันที่จริง บางทีมันไม่อาจผสมพันธุ์ กับสิ่งมีชีวิตใดบนโลกได้เลย บางทีคุณอาจสร้างพืช ที่มีภูมิต่อแบคทีเรียทุกอย่าง บางทีคุณอาจสร้างพืช ที่มีภูมิต่อไวรัสทุกอย่าง แต่ทำไมมันถึงน่าสนใจน่ะหรือครับ มันหมายถึงว่า เราจะไม่ได้เป็นทางออกเดียว มันหมายความว่า เราสามารถสร้าง สารเคมีที่เป็นทางเลือกให้กับเรา ที่จะสามารถเป็นสารเคมี ที่ปรับเปลี่ยนได้ต่อพืชที่มีความแตกต่าง ที่อาจสร้างชีวิตและส่งต่อลักษณะนั้นต่อไป การทดลองที่สอง หรืออีกแง่มุมหนึ่งของการทดลองนี้ คือทุกส่วนของคุณและทุก ๆ ชีวิต ประกอบด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด ถ้าคุณไม่แทนที่กรดอะมิโนสองชนิด ถ้าคุณไม่ได้มีแค่ ATXY แต่มี ATCG + XY คุณก็จะมีโครงสร้างหลัก จาก 20 เป็น 172 และทันใดนั้นเอง คุณก็จะมีโครงสร้างหลัก ของกรดอะมิโน 172 ชนิด เพื่อสร้างรูปแบบชีวิต ในแบบที่แตกต่างออกไป การทดลองที่สองที่เราควรพิจารณา เป็นการทดลองที่แปลกมาก ที่ถูกดำเนินการทดลองในประเทศจีน ชายคนนี้ได้ทำการปลูกถ่าย ย้ายศีรษะหนูเป็นร้อย ๆ หัว ครับ และทำไมมันถึงเป็นการทดลองที่น่าสนใจล่ะ ลองคิดดูถึงการปลูกถ่าย ย้ายหัวใจครั้งแรกสิครับ หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาเคยทำกันมา ก็คือพวกเขานำภรรยาหรือลูกสาวของผู้บริจาคเข้ามา เพื่อที่รับบริจาคจะสามารถบอกหมอได้ว่า "คุณจำคนคนนี้ได้ไหม คุณรักคนคนนี้หรือเปล่า คุณมีความรู้สึกใด ๆ ต่อคนคนนี้หรือเปล่า" ปัจจุบันนี้เราหัวเราะอดีต เราหัวเราะเพราะว่าเรารู้ว่าหัวใจเป็นกล้ามเนื้อ แต่เป็นหมื่นเป็นแสนปีมาแล้ว "ผมให้หัวใจผมกับเธอ เธอเอาหัวใจของผมไป เธอทำผมหัวใจสลาย" เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก และเราคิดว่า บางที่อารมณ์ความรู้สึก ถูกปลูกถ่ายไปพร้อมกับหัวใจ ไม่จริงครับ แล้วสมองล่ะ มีความเป็นไปได้สองอย่างจากการทดลองนี้ ถ้าคุณสามารถนำหนู ที่ใช้การได้มา แล้วคุณก็จะเห็นว่า สมองใหม่เป็นเหมือนกับก้อนหินชนวนหรือเปล่า และนั่นมันสื่อถึงอะไรหรือเปล่า ความคิดเห็นที่สองก็คือ หนูตัวใหม่จดจำหนูตัวเมียได้ หนูตัวใหม่จดจำว่ามันกลัวอะไรได้ จำได้ว่าจะออกจากเขาวงกตได้อย่างไร และถ้านั่นเป็นจริงแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถปลูกถ่ายความทรงจำ และสติสัมปชัญญะได้ และสิ่งที่น่าสนใจต่อไปก็คือ ถ้าคุณสามารถปลูกถ่ายสิ่งนี้ กลไกลการรับเข้าและนำออก ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เท่านั้นอย่างนั้นหรือ หรือคุณอาจปลูกถ่ายสติสัมปชัญญะนั้น ลงไปในอะไรบางอย่าง ที่อาจแตกต่างออกไปมาก ที่อาจคงทนถาวรอยู่ในอวกาศ ที่อาจคงทนถาวรอยู่เป็นหมื่น ๆ ปี ที่จะออกแบบร่างกายใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ ที่อาจคงสติสัมปชัญญะนั้น เป็นช่วงเวลานานแสนนาน และลองกลับมาที่คำถามแรกกัน ทำไมเราต้องการที่จะทำอย่างนั้น ครับ ผมจะบอกให้ก็ได้ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวสุด ๆ ไงล่ะครับ (เสียงหัวเราะ) ภาพนี้ถูกถ่ายที่ระยะห่างออกไปหกพันล้านไมล์ และนั่นก็คือโลก และนั่นก็คือเราทุกคน และถ้าเจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี้หายไป มนุษยชาติก็จะหายไป และเหตุผลที่คุณต้องการ เปลี่ยนแปลงร่างกายของมนุษย์ ก็เพราะว่าสุดท้ายแล้ว คุณต้องการภาพที่จะบอกว่า นั่นคือเรา และนั่นคือเรา และนั่นคือเรา เพราะว่านั่นเป็นหนทาง ที่มนุษยชาติจะอยู่รอดจากการสูญพันธุ์ในระยะยาว และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม มันกลายเป็นว่า อันที่จริงมันไม่ถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะไม่ทำให้ร่างกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการ แม้ว่ามันอาจน่ากลัว แม้ว่ามันอาจท้าทาย แต่มันจะทำให้เราสามารถสำรวจ สามารถมีชีวิตอยู่ และไปยังสถานที่ ที่เราไม่เคยนึกฝันถึงในปัจจุบัน แต่เป็นที่ที่เหลนของเหลนของเรา อาจไปถึงในสักวัน ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)