1 00:00:01,080 --> 00:00:04,576 วันนี้ผมอยากพูดเกี่ยวกับ ความหมายของคำต่างๆ 2 00:00:04,600 --> 00:00:05,896 ว่าพวกเราให้คำนิยามว่าอะไร 3 00:00:05,920 --> 00:00:08,176 และคำเหล่านั้น สะท้อน 4 00:00:08,200 --> 00:00:09,456 ความเป็นเราได้อย่างไร 5 00:00:09,480 --> 00:00:12,536 ภาษาอังกฤษเป็นภาษา ที่อาศัยภาษาอื่น 6 00:00:12,560 --> 00:00:15,216 ผมชอบภาษาอังกฤษ และผมดีใจที่ผมพูดภาษานี้ 7 00:00:15,240 --> 00:00:17,240 แต่ก็ยังมีช่องโหว่มากมาย 8 00:00:18,480 --> 00:00:20,816 ในภาษากรีก มีคำ ๆ หนึ่ง lachesism (ลา-เค-อิ-ซึม) 9 00:00:20,840 --> 00:00:24,280 ซึ่งแปลว่า ภาวะกระหายต่อความหายนะ 10 00:00:24,720 --> 00:00:28,296 แบบว่า เมื่อคุณเห็น ฝนฝ้าคะนองอยู่ที่เส้นขอบฟ้า 11 00:00:28,320 --> 00:00:30,606 แต่พอรู้ตัวอีกทีคุณก็อยู่ในพายุซะแล้ว 12 00:00:32,080 --> 00:00:34,016 ภาษาจีนแมนดาลิน มีคำว่า yù yī (โย่ว ยื่อ) 13 00:00:34,040 --> 00:00:36,056 ผมอาจออกเสียงไม่ถูกต้องนะครับ 14 00:00:36,080 --> 00:00:39,776 คำนี้แปลว่า ความต้องการ ที่จะรู้สึกอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง 15 00:00:39,800 --> 00:00:41,800 ในแบบเดียวกับที่คุณทำตอนเด็ก 16 00:00:43,680 --> 00:00:46,816 ภาษาโปแลนด์ มีคำว่า jouska (เวอซุสกา) 17 00:00:46,840 --> 00:00:50,376 แปลว่า บทสนทนาสมมติ 18 00:00:50,400 --> 00:00:52,520 ที่สร้างขึ้นในหัวของคุณ 19 00:00:54,400 --> 00:00:57,536 และสุดท้าย ในภาษาเยอรมัน และแน่นอน ในภาษานี้ 20 00:00:57,560 --> 00:01:00,416 มีคำว่า zielschmerz (ซีลชเมิร์ส) 21 00:01:00,440 --> 00:01:03,856 แปลว่า ความหวาดหวั่นในสิ่งที่ต้องการ 22 00:01:03,880 --> 00:01:07,976 (เสียงหัวเราะ) 23 00:01:08,000 --> 00:01:09,960 ที่สุดของการเติมเต็มความฝันชั่วชีวิต 24 00:01:11,840 --> 00:01:15,096 ผมเองเป็นคนเยอรมัน ผมจึงรู้ลึกซึ้งดีว่ามันรู้สึกยังไง 25 00:01:15,120 --> 00:01:17,736 ปัจจุบัน ผมไม่แน่ใจว่า จะใช้คำเหล่านี้ 26 00:01:17,760 --> 00:01:19,416 ในชีวิตประจำได้อย่างไร 27 00:01:19,440 --> 00:01:21,576 แต่ผมก็ดีใจที่มีคำเหล่านี้ 28 00:01:21,600 --> 00:01:25,336 แต่เหตุผลเดียวที่พวกมันคงอยู่ คือผมสร้างพวกมันขึ้น 29 00:01:25,360 --> 00:01:28,976 ผมเป็นผู้เขียนหนังสือ "The Dictionary of Obscure Sorrows" 30 00:01:29,000 --> 00:01:32,096 หนังสือที่ผมใช้เวลา 7 ปีที่ผ่านมาในการเขียน 31 00:01:32,120 --> 00:01:34,136 และจุดมุ่งหมายของโครงการนี้ 32 00:01:34,160 --> 00:01:39,336 คือการตามหาช่องว่าง ของอารมณ์ในภาษา 33 00:01:39,360 --> 00:01:40,576 และเติมเต็มความหมายมัน 34 00:01:40,600 --> 00:01:44,496 เรามีการพูดถึงบาปน้อยๆ ของคน 35 00:01:44,520 --> 00:01:46,936 และความประหลาดของข้อจำกัดคน 36 00:01:46,960 --> 00:01:50,936 ที่พวกเรารู้สึกได้ แต่อาจไม่คิด จะพูดออกมา 37 00:01:50,960 --> 00:01:53,656 เพราะเราไม่มีคำสำหรับสิ่งนั้น 38 00:01:53,680 --> 00:01:56,096 ประมาณครึ่งทางของโครงการนี้ 39 00:01:56,120 --> 00:01:57,736 ผมให้นิยามคำว่า sonder (ซอนเดอร์) 40 00:01:57,760 --> 00:02:01,136 ความคิดที่ว่า เราต่างคิดว่าตัวเอง เป็นตัวแสดงหลัก 41 00:02:01,160 --> 00:02:03,816 และคนอื่นเป็นเพียงตัวประกอบ 42 00:02:03,840 --> 00:02:06,536 แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราต่างเป็นตัวละครเอกกันทั้งนั้น 43 00:02:06,560 --> 00:02:09,639 และตัวคุณเองก็เป็นตัวประกอบใน ชีวิตใครบางคนด้วย 44 00:02:11,160 --> 00:02:14,256 หลังจากหนังสือของผมวางแผงไม่นาน 45 00:02:14,280 --> 00:02:15,976 ผมก็ได้รับเสียงตอบรับมากมาย 46 00:02:16,000 --> 00:02:20,616 บ้างพูดว่า ขอบคุณที่ผมช่วย อธิบายบางอย่างที่รู้สึกมาตลอดชีวิต 47 00:02:20,640 --> 00:02:23,656 แต่ไม่มีคำไหนใช้แทนคำนั้นได้ 48 00:02:23,680 --> 00:02:25,440 มันช่วยให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง 49 00:02:26,160 --> 00:02:27,960 นี่คือพลังของคำต่างๆ 50 00:02:28,880 --> 00:02:31,640 ที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง 51 00:02:32,400 --> 00:02:34,136 และหลังจากนั้นอีกไม่นาน 52 00:02:34,160 --> 00:02:35,936 ที่ผมเริ่มสังเกตคำว่า ซอนเดอร์ 53 00:02:35,960 --> 00:02:40,256 ได้ถูกใช้อย่างจริงจัง ในบทสนทนาบนโลกออนไลน์ 54 00:02:40,280 --> 00:02:43,176 และหลังจากนั้นผมก็สังเกต 55 00:02:43,200 --> 00:02:46,696 ผมได้ยินบทสนทนาข้างตัวผม 56 00:02:46,720 --> 00:02:49,176 ไม่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้า มากไปกว่าการได้สร้างคำๆหนึ่ง 57 00:02:49,200 --> 00:02:53,496 แล้วเห็นว่า มันมีความหมายในตัวมันเอง 58 00:02:53,520 --> 00:02:55,616 ผมยังหาคำที่ตรงกับคำนี้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวผมคงมี 59 00:02:55,640 --> 00:02:57,056 (เสียงหัวเราะ) 60 00:02:57,080 --> 00:02:58,280 ผมพยายามอยู่ 61 00:02:59,600 --> 00:03:02,280 ผมเริ่มคิดว่า อะไร ที่ทำให้คำเป็นจริงขึ้นมา 62 00:03:03,560 --> 00:03:05,056 เพราะคนถามผมงั้นเหรอ 63 00:03:05,080 --> 00:03:07,416 โดยส่วนใหญ่คนมักจะถามผมว่า 64 00:03:07,440 --> 00:03:10,696 คำเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาหรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจมันเลย 65 00:03:10,720 --> 00:03:12,776 แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะบอกพวกเขาอย่างไร 66 00:03:12,800 --> 00:03:14,736 เพราะเมื่อสำรวจว่ามีการเริ่มใช้ 67 00:03:14,760 --> 00:03:17,440 ผมเป็นใครกันที่จะบอกว่าคำเหล่านี้ ว่าจริงหรือไม่จริง 68 00:03:18,160 --> 00:03:22,216 ผมเลยรู้สึกเหมือนเป็นสตีฟ จ๊อบ ที่ได้อธิบายทางสว่างของเขา 69 00:03:22,240 --> 00:03:25,696 เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเราส่วนใหญ่ สิ่งที่เราผ่านไปในแต่ละวันนั้น 70 00:03:25,720 --> 00:03:28,736 พวกเราพยายามหลีกเลี่ยง การกระแทกกับกำแพงมากไป 71 00:03:28,760 --> 00:03:31,856 แล้วพยายามไหลไปตามน้ำ 72 00:03:31,880 --> 00:03:34,440 แต่เมื่อคุณได้รู้ว่า 73 00:03:36,280 --> 00:03:40,056 คนที่สร้างโลกใบนี้ขึ้น คือคนที่ไม่ได้ฉลาดไปกว่าคุณเลย 74 00:03:40,080 --> 00:03:42,176 คุณสามารถเอื้อม และสัมผัสกำแพงนั้นได้ 75 00:03:42,200 --> 00:03:43,896 หรือแม้แต่เอามือทะลุผ่านได้ 76 00:03:43,920 --> 00:03:46,280 แล้วรู้สึกถึงพลังในการเปลี่ยนแปลง 77 00:03:47,080 --> 00:03:50,736 และเมื่อคนถามผมว่า คำเหล่านั้นมีจริงไหม 78 00:03:50,760 --> 00:03:52,856 ผมมีคำตอบมากมายให้ลองตอบ 79 00:03:52,880 --> 00:03:55,016 บางคำตอบก็เข้าใจได้ บางคำตอบก็ไม่ใช่ 80 00:03:55,040 --> 00:03:56,616 แต่คำตอบหนึ่งที่ผมพยายามบอกไปคือ 81 00:03:56,640 --> 00:04:00,176 คำๆหนึ่งจะมีจริงได้ ถ้าคุณอยากให้มันเป็นจริง 82 00:04:00,200 --> 00:04:04,416 สิ่งที่ทำให้คำนี้เป็นจริงได้ เพราะคนนั่นแหละที่อยากให้มันเป็นจริง 83 00:04:04,440 --> 00:04:06,136 (เสียงหัวเราะ) 84 00:04:06,160 --> 00:04:08,256 มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ในวิทยาเขตต่างๆของมหาลัย 85 00:04:08,280 --> 00:04:09,616 เรียกว่า เส้นทางที่ปรารถนา 86 00:04:09,640 --> 00:04:10,656 (เสียงหัวเราะ) 87 00:04:10,680 --> 00:04:13,016 จากนั้นผมก็ได้ตัดสินใจ ว่าสิ่งที่คนต้องการถามจริงๆ 88 00:04:13,040 --> 00:04:15,936 คือคำนั้นมีจริงหรือไม่ พวกเขากำลังถามจริงๆ 89 00:04:15,960 --> 00:04:20,279 ว่านี่จะเป็นสื่อเข้าถึงได้สักกี่สมองนะ 90 00:04:21,079 --> 00:04:23,816 เพราะผมคิดว่านี่คือสิ่งที่พวกเรา หวังกับภาษา 91 00:04:23,840 --> 00:04:26,616 คำ คือกุญแจสำคัญ 92 00:04:26,640 --> 00:04:29,616 ที่ไขเข้าสมองคนได้ 93 00:04:29,640 --> 00:04:32,080 และเมื่อได้เข้าไปในหัวหนึ่งคน 94 00:04:32,920 --> 00:04:34,176 ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่ 95 00:04:34,200 --> 00:04:35,456 มันยังไม่คุ้มที่จะรู้ 96 00:04:35,480 --> 00:04:37,936 สองหัวหรอ ก็แล้วแต่ว่าเป็นของใคร 97 00:04:37,960 --> 00:04:40,160 เป็นล้านๆหัว โอเค นี่แหละที่ต้องการ 98 00:04:40,800 --> 00:04:47,256 และคำที่ดีจริงต้องนำพาคุณสู่ หัวสมองอีกมากมาย 99 00:04:47,280 --> 00:04:50,536 และนั่นทำให้คุ้มค่าที่จะรู้ 100 00:04:50,560 --> 00:04:54,376 คำที่เจ๋งสุดคือ 101 00:04:54,400 --> 00:04:56,616 (โอ เค) 102 00:04:56,640 --> 00:04:57,856 นี่ไง 103 00:04:57,880 --> 00:04:59,136 คำจริงที่สุดที่เรามี 104 00:04:59,160 --> 00:05:01,736 มันเป็นคำที่ใกล้เคียงกุญแจสำคัญที่สุด 105 00:05:01,760 --> 00:05:04,336 เป็นคำที่เข้าใจกันดีที่สุดทั่วโลก 106 00:05:04,360 --> 00:05:05,616 ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหน 107 00:05:05,640 --> 00:05:06,856 ปัญหาก็คือ 108 00:05:06,880 --> 00:05:09,576 ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ ว่าตัวหนังสือสองตัวนั้นย่อมาจากอะไร 109 00:05:09,600 --> 00:05:11,896 (เสียงหัวเราะ) 110 00:05:11,920 --> 00:05:13,976 ซึ่งก็ประหลาดดี ว่าไหมครับ 111 00:05:14,000 --> 00:05:17,456 แบบว่า อาจจะเป็นการสะกดผิด ของคำว่า all correct ละมั้ง 112 00:05:17,480 --> 00:05:18,736 หรือย่อมาจาก old kinderhook 113 00:05:18,760 --> 00:05:22,616 ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ แต่จริงๆแล้วมันก็ 114 00:05:22,640 --> 00:05:26,136 ไม่ได้บอกว่าเรา ให้ความหมายคำอย่างไร 115 00:05:26,160 --> 00:05:28,960 คำต่าง ๆ นั้นไม่มีความหมายอยู่ในตัวเอง 116 00:05:29,920 --> 00:05:32,680 พวกเรานี่แหละ ใส่มันเข้าไปเอง 117 00:05:33,440 --> 00:05:37,200 และผมคิดว่า เวลาที่พวกเรา ตามหาความหมายของชีวิตเรา 118 00:05:38,040 --> 00:05:39,896 และความหมายของชีวิต 119 00:05:39,920 --> 00:05:43,160 ผมว่าคำต่างๆ ก็ มีส่วนเกี่ยวข้อง 120 00:05:44,040 --> 00:05:46,816 และถ้าคุณตามหาความหมาย บางอย่าง 121 00:05:46,840 --> 00:05:48,840 พจนานุกรมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี 122 00:05:49,760 --> 00:05:52,136 มันให้ความรู้สึกเป็นระเบียบ 123 00:05:52,160 --> 00:05:53,920 ในจักรวาลอันแสนวุ่นวาย 124 00:05:54,880 --> 00:05:56,720 มุมมองเราต่อสิ่งต่างๆ มีจำกัด 125 00:05:57,560 --> 00:06:00,336 เราจึงต้องมีแบบแผน 126 00:06:00,360 --> 00:06:02,656 เพื่อที่จะหาทาง แปลความหมาย 127 00:06:02,680 --> 00:06:04,520 และดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้ 128 00:06:05,240 --> 00:06:08,520 เราต้องการคำต่างๆ เพื่ออธิบายตัวเรา 129 00:06:09,400 --> 00:06:11,440 ผมว่าเราหลายๆ คนรู้สึกอึดอัด 130 00:06:12,320 --> 00:06:13,896 ว่าจะใช้คำเหล่านี้อย่างไร 131 00:06:13,920 --> 00:06:16,256 พวกเราลืมไปว่า เราสร้างมันขึ้นมา 132 00:06:16,280 --> 00:06:18,640 ไม่ใช่แค่คำที่ผมสร้าง ทุกคำถูกสร้างขึ้นมาหมด 133 00:06:19,280 --> 00:06:20,960 แต่ไม่ใช่ทุกคำมีความหมาย 134 00:06:21,880 --> 00:06:25,976 พวกเราเหมือนถูกกัก ไว้ในพจนานุกรม 135 00:06:26,000 --> 00:06:30,736 ที่ไม่จำเป็นว่าจะเกี่ยว ข้องกับคนที่ไม่ได้เป็นเช่นเรา 136 00:06:30,760 --> 00:06:35,376 และเหตุนี้เราก็ดูจะโดนฉีกห่าง ออกไปทุกๆ ปี 137 00:06:35,400 --> 00:06:37,480 เมื่อเราจริงจังกับคำต่างๆมากขึ้น 138 00:06:39,880 --> 00:06:42,680 จำไว้ว่า คำต่างๆ มันไม่จริง 139 00:06:43,600 --> 00:06:45,640 มันไม่มีความหมาย แต่เรามี 140 00:06:46,480 --> 00:06:49,280 ผมขอทิ้งท้ายด้วยการอ่าน 141 00:06:49,760 --> 00:06:52,376 หนังสือของหนึ่งในนักปรัชญาที่ผมชอบ 142 00:06:52,400 --> 00:06:54,936 บิล วัตเตอร์สัน ผู้สร้าง "Calvin and Hobbes." 143 00:06:54,960 --> 00:06:56,160 เขากล่าวว่า 144 00:06:57,040 --> 00:07:00,856 การสร้างชีวิตสะท้อนคุณค่า และความต้องการของจิตวิญญาณคุณ 145 00:07:00,880 --> 00:07:02,536 เป็นความสำเร็จอันหาได้ยาก 146 00:07:02,560 --> 00:07:05,016 การสร้างความหมายให้กับชีวิตตัวเอง 147 00:07:05,040 --> 00:07:06,576 ไม่ใช่เรื่องง่าย 148 00:07:06,600 --> 00:07:08,416 แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป 149 00:07:08,440 --> 00:07:10,640 และผมคิดว่าคุณจะ สุขยิ่งขึ้นกับปัญหา 150 00:07:11,320 --> 00:07:12,536 ขอบคุณครับ 151 00:07:12,560 --> 00:07:15,280 (เสียงปรบมือ)