0:00:06.951,0:00:08.713 เช่นเดียวกับฮีโร่มากมายในเทพนิกายกรีก 0:00:08.713,0:00:13.930 นักปราชญ์นามฮิปปาซุส (Hippasus)[br]ถูกลงโทษอย่างร้ายแรงโดยเทพเจ้า 0:00:13.930,0:00:15.606 แต่ว่าเขาทำอะไรผิดหรือ 0:00:15.606,0:00:16.957 เขาฆ่าคนหรือเปล่า 0:00:16.957,0:00:19.474 หรือไปขัดขวางพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เข้า 0:00:19.474,0:00:23.524 ไม่หรอก ความผิดของเขาก็คือ[br]การพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ 0:00:23.524,0:00:26.583 การค้นพบจำนวนอตรรกยะ 0:00:26.583,0:00:30.311 ฮิปปาซุสเป็นสมาชิกของกลุ่ม[br]ที่ชื่อว่านักคณิตศาสตร์ พิธากอเรียน 0:00:30.311,0:00:32.922 พวกเขาเคารพนับถือในตัวเลข 0:00:32.922,0:00:35.463 สุภาษิตของพวกเขาที่ว่า "ทุกสิ่งคือจำนวน" 0:00:35.463,0:00:39.013 เสนอว่าจำนวน[br]เป็นโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาล 0:00:39.013,0:00:43.317 และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง[br]ตั้งแต่จักรวาลวิทยาและอภิปรัชญา 0:00:43.317,0:00:46.477 ไปจนถึงดนตรีและหลักจริยธรรม [br]ล้วนก็เป็นไปตามกฎที่อยู่ชั่วนิรันดร์ 0:00:46.477,0:00:50.175 ซึ่งสามารถอธิบายได้[br]ด้วยเศษส่วนของจำนวน 0:00:50.175,0:00:53.488 ดังนั้น ไม่ว่าจำนวนใด ๆ ก็สามารถ[br]ถูกเขียนให้ในรูปของเศษส่วนได้ 0:00:53.488,0:00:55.995 5 คือ 5 ส่วน 1 0:00:55.995,0:00:59.085 0.5 คือ 1 ส่วน 2 0:00:59.085,0:01:00.505 แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ 0:01:00.505,0:01:07.907 แม้แต่ทศนิยมซ้ำที่มีตัวเลขไม่รู้จบเช่นนี้[br]ก็ยังสามารถแสดงได้ในรูป 34 ส่วน 45 0:01:07.907,0:01:11.421 ปัจจุบันเราเรียกเลขทั้งหมดเหล่านี้ว่า [br]จำนวนตรรกยะ 0:01:11.421,0:01:16.051 แต่ฮิปปาซุสได้ค้นพบตัวเลขหนึ่ง[br]ซึ่งขัดกับกฎตายตัวนี้ 0:01:16.051,0:01:18.825 ตัวเลขซึ่งไม่ควรจะมีอยู่จริง 0:01:18.825,0:01:21.395 ปัญหานี้เริ่มจากรูปร่างทั่ว ๆ ไป 0:01:21.395,0:01:25.105 สี่เหลี่ยมจตุรัสที่แต่ละด้านยาวหนึ่งหน่วย 0:01:25.105,0:01:26.898 ตามทฤษฎีของพิธากอรัส 0:01:26.898,0:01:30.183 ความยาวของเส้นทแยงมุมของรูปนี้[br]ควรมีค่าเท่ากับรากที่สองของสอง 0:01:30.183,0:01:35.528 แต่ถึงจะแล้ว ฮิปปาซุสก็ไม่สามารถ[br]เขียนมันให้อยู่ในรูปเศษส่วนได้ 0:01:35.528,0:01:39.839 แทนที่จะยอมแพ้ เขาตัดสินใจ[br]ที่จะพิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้ 0:01:39.839,0:01:44.196 ฮิปปาซุสเริ่มจากการสมมติว่า[br]แนวคิดของพิธากอเรียนคือสิ่งที่ถูกต้อง 0:01:44.196,0:01:49.145 คือรากที่สองของสองสามารถถูกเขียน[br]ออกมาในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็มสองจำนวนได้ 0:01:49.145,0:01:52.981 เขาตั้งชื่อจำนวนเต็มสมมติทั้งสองว่า[br]p และ q 0:01:52.981,0:01:56.358 และสมมติให้เศษส่วนนี้[br]ลดอยู่ในรูปแบบที่ง่ายที่สุดของมัน 0:01:56.358,0:01:59.957 ซึ่ง p และ q จะไม่มีตัวประกอบร่วมกัน 0:01:59.957,0:02:02.987 และเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า [br]รากที่สองของสองไม่ใช่จำนวนตรรกยะ 0:02:02.987,0:02:08.074 ฮิปปาซุสจะต้องแสดงให้ได้ว่า[br]p และ q ไม่มีอยู่จริง 0:02:08.074,0:02:11.422 เขาจึงคูณทั้งสองข้างของสมการนี้ ด้วย q 0:02:11.422,0:02:13.291 และใส่ยกกำลังสองทั้งสองข้าง 0:02:13.291,0:02:15.320 ซึ่งทำให้ได้สมการออกมาเป็นดังนี้ 0:02:15.320,0:02:19.274 การคูณจำนวนใด ๆ ด้วย 2[br]จะทำให้จำนวนนั้นเป็นเลขคู่ 0:02:19.274,0:02:22.332 ฉะนั้น p ยกกำลัง 2 ก็ควรจะเป็นเลขคู่ด้วย 0:02:22.332,0:02:24.715 ซึ่งนั่นจะไม่เป็นจริง [br]ถ้าหาก p เป็นเลขคี่อยู่แล้ว 0:02:24.715,0:02:28.154 เพราะเลขคี่ใด ๆ เมื่อคูณด้วยตัวเองเข้าไป[br]ก็ยังได้ผลเป็นเลขคี่อยู่ดี 0:02:28.154,0:02:30.702 ฉะนั้น p จึงเป็นเลขคู่เช่นกัน 0:02:30.702,0:02:36.176 ดังนั้น p จึงสามารถถูกแสดงในรูป 2a [br]เมื่อ a เป็นจำนวนเต็ม 0:02:36.176,0:02:39.074 แทนที่มันเข้าไปในสมการ [br]และทำให้เป็นขั้นต่ำ 0:02:39.074,0:02:43.248 จะได้ q ยกกำลังสอง เท่ากับ [br]สอง a ยกกำลังสอง 0:02:43.248,0:02:47.180 อีกครั้งหนึ่ง เมื่อนำ 2 คูณ จำนวนใด ๆ [br]จะได้ผลลัพธ์เป็นเลขคู่ 0:02:47.180,0:02:49.921 ฉะนั้น q ยกกำลัง 2 ก็ต้องเป็นเลขคู่ 0:02:49.921,0:02:52.012 และ q เองก็ต้องเป็นเลขคู่เช่นกัน 0:02:52.012,0:02:54.393 นั่นทำให้ทั้ง p และ q ต่างก็เป็นเลขคู่ 0:02:54.393,0:02:57.710 แต่หากว่าสิ่งดังกล่าวเป็นจริง[br]สองจำนวนนี้ก็จะมีตัวประกอบร่วมเป็น 2 0:02:57.710,0:03:00.576 ซึ่งมันจะไปขัดกับข้อกำหนดเบื้องต้น 0:03:00.576,0:03:04.796 และนี่คือวิธีที่ฮิปปาซุสสรุปได้ว่า[br]เศษส่วนดังกล่าวนี้ไม่มีอยู่จริง 0:03:04.796,0:03:06.756 เราเรียกมันว่า การพิสูจน์โดยข้อขัดแย้ง 0:03:06.756,0:03:08.234 และตามตำนานกล่าวว่า 0:03:08.234,0:03:11.453 เทพเจ้าไม่ได้พอใจนักที่โดนหักล้าง 0:03:11.453,0:03:14.928 ที่น่าสนใจก็คือ ถึงแม้เราจะไม่สามารถ[br]เขียนจำนวนอตรรกยะ 0:03:14.928,0:03:16.802 ในรูปเศษส่วนของจำนวนเต็มไม่ได้ 0:03:16.802,0:03:20.891 มันเป็นไปได้ที่จะหาตำแหน่ง[br]บนเส้นจำนวนได้อย่างแน่นอน 0:03:20.891,0:03:22.149 อย่างเช่น รากที่ 2 0:03:22.149,0:03:27.844 ที่เราต้องทำก็คือวาดสามเหลี่ยมมุมฉาก[br]ที่มีทั้งสองด้านยาวหนึ่งหน่วย 0:03:27.844,0:03:32.596 ด้านตรงข้ามมุมฉากจะยาวเท่ากับรากที่สอง[br]ซึ่งสามารถทบลงมาบนเส้นจำนวนได้ 0:03:32.596,0:03:35.144 แล้วเราก็สร้างสามเหลี่ยมุมฉากรูปใหม่ 0:03:35.144,0:03:38.491 โดยใช้มันเป็นความยาวฐาน[br]และให้ความสูงเป็นหนึ่งหน่วย 0:03:38.491,0:03:41.135 จะได้ด้านตรงข้ามมุมฉากที่มีความยาว[br]เท่ากับรากที่สองของสาม 0:03:41.135,0:03:43.932 ซึ่งสามารถทบลงมา[br]วางบนเส้นจำนวนได้เช่นกัน 0:03:43.932,0:03:48.953 สิ่งสำคัญก็คือ ทศนิยมและเศษส่วน[br]เป็นวิธีเดียวที่จะแสดงค่าของจำนวน 0:03:48.953,0:03:52.948 รากที่สองของสองคือความยาวด้านตรงข้าม[br]ของสามเหลี่ยมมุมฉาก 0:03:52.948,0:03:54.875 ที่มีด้านประกอบยาวหนึ่งหน่วย 0:03:54.875,0:03:58.259 จำนวนอตรรกยะ pi ที่โด่งดังก็เช่นกัน 0:03:58.259,0:04:01.128 มันจะมีค่าเท่ากับสิ่งที่มันแสดงถึงเสมอ 0:04:01.128,0:04:04.570 นั่นก็คือเศษส่วนของเส้นรอบวง[br]กับเส้นผ่านศูนย์กลาง 0:04:04.570,0:04:07.565 จำนวนโดยประมาณ อย่าง 22 ส่วน 7 0:04:07.565,0:04:13.707 หรือ 355 ส่วน 113 [br]ต่างก็ไม่ได้มีค่าเท่ากับ pi ทีเดียว 0:04:13.707,0:04:16.218 เราไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นฮิปปาซุส 0:04:16.218,0:04:20.665 แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ การค้นพบของเขา[br]ได้ปฏิวัติวงการคณิตศาสตร์ 0:04:20.665,0:04:24.936 ฉะนั้น ไม่ว่าตำนานจะบอกเราว่าอย่างไร[br]จงอย่ากลัวที่จะสำรวจสิ่งที่เป็นไปไม่ได้