1 00:00:00,273 --> 00:00:04,679 ผมอยากให้ทุกคนลองหลับตา 2 00:00:04,679 --> 00:00:07,996 นึกภาพว่าคุณกำลังยืน 3 00:00:07,996 --> 00:00:11,123 อยู่หน้าประตูบ้านของคุณเอง 4 00:00:11,123 --> 00:00:14,792 ขอให้คุณสังเกตสีของประตู 5 00:00:14,792 --> 00:00:18,788 สังเกตว่าประตูทำจากวัสดุอะไร 6 00:00:18,788 --> 00:00:25,508 ทีนี้ลองนึกภาพคนอ้วนเปลือยกลุ่มหนึ่งกำลังขี่จักรยานอยู่ 7 00:00:25,508 --> 00:00:28,708 พวกเขากำลังแข่งขันปั่นจักรยานเปลือย 8 00:00:28,708 --> 00:00:32,458 และกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูบ้านของคุณ 9 00:00:32,458 --> 00:00:34,408 ผมอยากให้คุณจินตนาการจนเห็นภาพนี้จริงๆ 10 00:00:34,408 --> 00:00:37,500 พวกเขาปั่นด้วยความเร็วสูง เหงื่อโทรมกาย 11 00:00:37,500 --> 00:00:40,404 กระเด้งกระดอนใหญ่เลย 12 00:00:40,404 --> 00:00:44,208 แล้วในที่สุดก็ชนโครมเข้าที่ประตูบ้านคุณ 13 00:00:44,208 --> 00:00:48,127 จักรยานกระเด็นเกลื่อนกลาด ล้อหลุดกลิ้งผ่านคุณไป 14 00:00:48,127 --> 00:00:51,958 ซี่ล้อกระจายไปทั่ว 15 00:00:51,958 --> 00:00:55,183 ทีนี้ลองก้าวข้ามธรณีประตูของคุณ 16 00:00:55,183 --> 00:00:58,023 เข้าไปสู่ห้องโถง ทางเดิน หรืออะไรก็ตามที่อยู่อีกฟาก 17 00:00:58,023 --> 00:01:01,929 ลองพิจารณาลำแสง 18 00:01:01,929 --> 00:01:07,606 ที่สาดส่องมายังเจ้าตัวคุกกี้ มอนสเตอร์ 19 00:01:07,606 --> 00:01:10,792 คุกกี้ มอนสเตอร์โบกมือให้คุณ 20 00:01:13,496 --> 00:01:15,304 จากบนหลังม้าสีแทนที่เขานั่งอยู่ 21 00:01:13,496 --> 00:01:15,304 มันเป็นม้าพูดได้ 22 00:01:15,304 --> 00:01:19,837 ขนสีฟ้าของเขาปลิวมาโดนจมูกของคุณจนรู้สึกจั๊กจี้ 23 00:01:19,837 --> 00:01:24,114 คุณได้กลิ่นคุกกี้ข้าวโอ๊ตกับลูกเกด ที่เขากำลังจะเขมือบเข้าปาก 24 00:01:24,114 --> 00:01:27,921 เดินผ่านเขาไปทางห้องนั่งเล่นของคุณ 25 00:01:27,921 --> 00:01:30,958 ในห้องนั่งเล่น ใช้จินตนาการให้เต็มที่ 26 00:01:30,958 --> 00:01:33,770 จนคุณเห็นบริตนี่ย์ สเปียส์ 27 00:01:33,770 --> 00:01:39,265 เธอนุ่งน้อยห่มน้อย กำลังเต้นอยู่บนโต๊ะกาแฟของคุณ 28 00:01:39,265 --> 00:01:41,809 และร้องเพลง "Hit Me Baby One More Time" 29 00:01:41,809 --> 00:01:44,731 ทีนี้ตามผมมาในครัวของคุณ 30 00:01:44,731 --> 00:01:49,031 ในครัวของคุณ ตอนนี้มีถนนปูอิฐสีเหลืองพาดผ่าน 31 00:01:49,031 --> 00:01:52,725 อะไรบางอย่างกำลังเดินออกจากเตาอบมาหาคุณ 32 00:01:52,725 --> 00:01:54,792 โดโรธี มนุษย์สังกะสี 33 00:01:54,792 --> 00:01:57,173 หุ่นไล่กา และสิงโตจากเรื่องพ่อมดออสซ์ 34 00:01:57,173 --> 00:02:00,000 กำลังจับมือกันกึ่งเดินกึ่งกระโดดตรงมาหาคุณ 35 00:02:00,000 --> 00:02:04,333 โอเคครับ ลืมตาได้ 36 00:02:04,333 --> 00:02:07,792 ผมอยากเล่าให้คุณฟัง เรื่องการแข่งขันประหลาดๆ 37 00:02:07,792 --> 00:02:10,875 ที่จัดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิในเมืองนิวยอร์ก 38 00:02:10,875 --> 00:02:14,362 งานนี้เรียกว่า การชิงแชมป์นักจำแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Memory Championship) 39 00:02:14,362 --> 00:02:17,260 ผมไปทำข่าวการแข่งขันนี้เมื่อสองสามปีก่อน 40 00:02:17,260 --> 00:02:19,457 ในฐานะผู้สื่อข่าวสายวิทยาศาสตร์ 41 00:02:19,457 --> 00:02:21,792 โดยคาดหวังว่า งานนี้คงน่าตื่นเต้น 42 00:02:21,792 --> 00:02:24,621 เหมือนการแข่งซุเปอร์โบวล์ของนักปราชญ์ขั้นเทพ 43 00:02:24,621 --> 00:02:28,130 ปรากฏว่า คนเหล่านี้ คือผู้ชายกลุ่มใหญ่ กับผู้หญิงไม่กี่คน 44 00:02:28,130 --> 00:02:32,869 ที่มีความหลากหลายสูงมาก ทั้งเรื่องอายุ และระดับการรักษาสุขอนามัย 45 00:02:32,869 --> 00:02:35,150 (เสียงหัวเราะ) 46 00:02:35,150 --> 00:02:39,359 พวกเขาจำตัวเลขสุ่มนับร้อยๆ ตัว 47 00:02:39,359 --> 00:02:40,771 หลังจากมองดูแค่ครั้งเดียว 48 00:02:40,771 --> 00:02:45,133 พวกเขาจำชื่อคนแปลกหน้าจำนวนไม่รู้กี่โหลต่อกี่โหล 49 00:02:45,133 --> 00:02:48,571 จำบทกวีทั้งบทภายในสองสามนาที 50 00:02:48,571 --> 00:02:50,750 พวกเขาแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะสามารถ 51 00:02:50,750 --> 00:02:54,750 จำลำดับของไพ่ในกองที่สับแล้วได้เร็วที่สุด 52 00:02:54,750 --> 00:02:56,594 ผมแบบ... โอ้ นี่มันเหลือเชื่อ 53 00:02:56,594 --> 00:02:59,750 คนพวกนี้ต้องเป็นมนุษย์ประหลาดแน่ๆ 54 00:02:59,750 --> 00:03:03,375 แล้วผมก็เริ่มคุยกับผู้เข้าแข่งขันสองสามคน 55 00:03:03,375 --> 00:03:04,750 ชายคนนี้ชื่อเอ็ด คุก 56 00:03:04,750 --> 00:03:06,317 มาจากอังกฤษ 57 00:03:06,317 --> 00:03:08,283 เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฝึกฝนความจำมาดีที่สุด 58 00:03:08,283 --> 00:03:12,048 ผมถามเขาว่า "เอ็ด คุณรู้ตัวเมื่อไหร่ 59 00:03:12,048 --> 00:03:14,556 ว่าคุณเป็นนักปราชญ์ขั้นเทพ?" 60 00:03:14,556 --> 00:03:17,320 เอ็ดตอบมาว่า "ผมไม่ใช่นักปราชญ์ขั้นเทพ 61 00:03:17,320 --> 00:03:19,896 ที่จริงผมมีความจำดีปานกลางเท่านั้นแหละ 62 00:03:19,896 --> 00:03:21,568 ทุกคนที่มาแข่งในงานนี้ 63 00:03:21,568 --> 00:03:24,829 จะพูดเหมือนกันหมด ว่าเขาความจำดีปานกลาง 64 00:03:24,829 --> 00:03:26,708 แต่เราทุกคนล้วนฝึกฝนตัวเอง 65 00:03:26,708 --> 00:03:30,929 ให้สามารถจำได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ 66 00:03:30,929 --> 00:03:32,987 โดยใช้เทคนิคโบราณ 67 00:03:32,987 --> 00:03:36,535 ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาในประเทศกรีซเมื่อ 2,500 ปีก่อน 68 00:03:36,535 --> 00:03:39,667 เทคนิคเดียวกับที่ซิเซโรใช้ 69 00:03:39,667 --> 00:03:41,527 ในการจดจำปาฐกถาที่เขาจะพูด 70 00:03:41,527 --> 00:03:45,721 และที่นักวิชาการในยุคกลาง ใช้เพื่อช่วยจำหนังสือทั้งเล่ม 71 00:03:45,721 --> 00:03:49,437 ผมได้ฟังก็แบบ "โว้ว ทำไมผมไม่เคยได้ยิน เรื่องนี้มาก่อนเลยเนี่ย?" 72 00:03:49,437 --> 00:03:52,156 แล้วเราก็ออกมายืนกันหน้าหอประชุมที่ใช้จัดการแข่งขัน 73 00:03:52,156 --> 00:03:55,833 แล้วเอ็ด ชายนิสัยดี ฉลาดหลักแหลม 74 00:03:55,833 --> 00:03:58,898 แต่ท่าทางประหลาด จากประเทศอังกฤษ 75 00:03:58,898 --> 00:04:03,333 พูดกับผมว่า "โจช คุณเป็นนักข่าวอเมริกัน 76 00:04:03,333 --> 00:04:05,439 คุณสนิทกับบริตนีย์ สเปียส์ไหม?" 77 00:04:05,439 --> 00:04:10,252 ผมแบบ "อะไรนะ? ไม่อ่ะ ทำไมเหรอ?" 78 00:04:10,252 --> 00:04:13,333 "เพราะผมอยากจะสอนบริตนีย์ สเปียส์ 79 00:04:13,333 --> 00:04:15,962 ให้จำลำดับของไพ่ในกองที่สับแล้ว 80 00:04:15,962 --> 00:04:18,208 ออกโทรทัศน์ในอเมริกา 81 00:04:18,208 --> 00:04:21,479 เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าใครๆ ก็ทำอย่างนี้ได้" 82 00:04:21,479 --> 00:04:25,893 (เสียงหัวเราะ) 83 00:04:25,893 --> 00:04:29,383 ผมเลยบอกว่า "เอ่อ ผมไม่ใช่บริตนีย์ สเปียส์ 84 00:04:29,383 --> 00:04:32,148 แต่คุณจะลองสอนผมดูก็ได้นะ 85 00:04:32,148 --> 00:04:34,583 คือ คุณต้องลองกับใครสักคนก่อน ใช่ไหมล่ะ?" 86 00:04:34,583 --> 00:04:38,375 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่แสนประหลาดของผม 87 00:04:38,375 --> 00:04:41,279 กลายเป็นว่า ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีถัดมา 88 00:04:41,279 --> 00:04:43,375 ไม่เพียงแต่ฝึกฝนความจำของผม 89 00:04:43,375 --> 00:04:45,125 แต่ยังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความจำ 90 00:04:45,125 --> 00:04:47,231 เพื่อพยายามเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร 91 00:04:47,231 --> 00:04:49,502 ทำไมบางครั้งมันจึงทำงานได้ไม่ดี 92 00:04:49,502 --> 00:04:51,987 และมันมีศักยภาพแค่ไหน 93 00:04:51,987 --> 00:04:54,293 ผมพบคนที่น่าสนใจสุดๆ มากมาย 94 00:04:54,293 --> 00:04:56,075 ผู้ชายคนนี้ชื่อว่า อี.พี. 95 00:04:56,075 --> 00:04:58,583 เขาเป็นโรคความจำเสื่อม 96 00:04:58,583 --> 00:05:01,292 และน่าจะเป็นคนที่ความแย่ที่สุดในโลก 97 00:05:01,292 --> 00:05:02,952 ความจำของเขาแย่มาก 98 00:05:02,952 --> 00:05:05,702 ถึงขั้นที่เขาจำไม่ได้ว่าเขามีปัญหาเรื่องความจำ 99 00:05:05,702 --> 00:05:07,589 ซึ่งน่าทึ่งมาก 100 00:05:07,589 --> 00:05:09,304 ชีวิตของเขาน่าเศร้าอย่างเหลือเชื่อ 101 00:05:09,304 --> 00:05:11,292 แต่เขาก็เป็นหน้าต่างที่ทำให้เราเห็น 102 00:05:11,292 --> 00:05:15,102 ว่าความทรงจำสำคัญกับความเป็นตัวตนของเราแค่ไหน 103 00:05:15,102 --> 00:05:18,140 ในขั้วตรงกันข้าม ผมพบผู้ชายคนนี้ 104 00:05:18,140 --> 00:05:19,877 นี่คือคิม พีค (Kim Peek) 105 00:05:19,877 --> 00:05:23,364 เขาคือที่มาของตัวละครที่รับบท โดยดัสติน ฮอฟแมนในเรื่อง Rain Man 106 00:05:23,364 --> 00:05:26,046 บ่ายวันหนึ่ง เรานั่งจำชื่อในสมุดโทรศัพท์อยู่ด้วยกัน 107 00:05:26,046 --> 00:05:29,683 ที่ห้องสมุดสาธารณะ เมืองซอลท์ เลค ซิตี้ 108 00:05:29,683 --> 00:05:32,770 สนุกมากเลยนะ 109 00:05:32,770 --> 00:05:35,727 (เสียงหัวเราะ) 110 00:05:35,727 --> 00:05:39,157 แล้วผมก็ย้อนไปอ่านหนังสือโบราณต่างๆ เกี่ยวกับความทรงจำ 111 00:05:39,157 --> 00:05:42,990 หนังสือพวกนี้เขียนขึ้นมานานกว่า 2,000 ปีที่แล้ว 112 00:05:42,990 --> 00:05:44,896 ในภาษาละติน ตั้งแต่ยุคโบราณ 113 00:05:44,896 --> 00:05:47,233 และต่อมาในยุคกลาง 114 00:05:47,233 --> 00:05:49,796 ผมได้เรียนรู้อะไรๆ ที่น่าสนใจมากมาย 115 00:05:49,796 --> 00:05:53,038 เรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งที่ผมได้รู้คือ 116 00:05:53,038 --> 00:05:55,514 สมัยก่อนนี้ 117 00:05:55,514 --> 00:06:01,286 การมีความจำที่ได้รับการฝึกฝน ขัดเกลา และปลูกฝังอย่างดี 118 00:06:01,286 --> 00:06:06,314 ไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่ทุกวันนี้เรารู้สึกกัน 119 00:06:06,314 --> 00:06:11,071 สมัยก่อน คนเราทุ่มเทฝึกฝนความจำ 120 00:06:11,071 --> 00:06:16,096 เพียรพยายามพัฒนาจิตของตน 121 00:06:16,096 --> 00:06:18,219 ไม่กี่พันปีมานี้เอง 122 00:06:18,219 --> 00:06:20,965 ที่เราเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีหลากหลาย 123 00:06:20,965 --> 00:06:23,375 ตั้งแต่ตัวอักษรไปถึงม้วนกระดาษ 124 00:06:23,375 --> 00:06:25,694 หนังสือที่เขียนด้วยลายมือ แท่นพิมพ์ ภาพถ่าย 125 00:06:25,694 --> 00:06:27,608 คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน 126 00:06:27,608 --> 00:06:30,540 ซึ่งทำให้มันง่ายขึ้นเรื่อยๆ 127 00:06:30,540 --> 00:06:33,125 ที่จะเก็บความจำไว้นอกสมอง 128 00:06:33,125 --> 00:06:35,367 และยกสิ่งที่เป็นความสามารถ 129 00:06:35,367 --> 00:06:39,080 ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ข้อนี้ ให้เทคโนโลยีทำแทน 130 00:06:39,080 --> 00:06:42,679 เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้โลกสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ 131 00:06:42,679 --> 00:06:44,477 แต่มันก็เปลี่ยนแปลงเราไปด้วย 132 00:06:44,477 --> 00:06:46,227 มันเปลี่ยนเราในแง่วัฒนธรรม 133 00:06:46,227 --> 00:06:49,761 และผมว่า มันเปลี่ยนกระบวนการคิดเราด้วย 134 00:06:49,761 --> 00:06:52,327 เมื่อเราไม่จำเป็นต้องจำอะไรมากมายนัก 135 00:06:52,327 --> 00:06:55,444 บางทีก็ดูเหมือนเราลืมวิธีจำไป 136 00:06:55,444 --> 00:06:57,183 ที่สุดท้ายบนโลกนี้ 137 00:06:57,183 --> 00:07:00,287 ที่คุณจะยังได้เห็นคนที่หลงใหล 138 00:07:00,287 --> 00:07:03,529 เรื่องการฝึกฝน ขัดเกลา และปลูกฝังความจำ 139 00:07:03,529 --> 00:07:06,288 ก็คือที่การแข่งขันความจำนี่แหละ 140 00:07:06,288 --> 00:07:07,604 ที่จริงงานนี้ไม่ใช่งานเดียว 141 00:07:07,604 --> 00:07:09,929 มีการแข่งขันแบบนี้อยู่ทั่วโลก 142 00:07:09,929 --> 00:07:14,087 ผมทึ่งกับคนพวกนี้ และอยากรู้ว่าเขาทำได้อย่างไร 143 00:07:14,087 --> 00:07:18,806 สองสามปีที่แล้ว นักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่ University College กรุงลอนดอน 144 00:07:18,806 --> 00:07:21,583 พาแชมป์ความจำหลายคนมาที่แล็บ 145 00:07:21,583 --> 00:07:23,089 พวกเราอยากรู้ว่า 146 00:07:23,089 --> 00:07:24,456 สมองของคนพวกนี้แตกต่าง 147 00:07:24,456 --> 00:07:28,898 จากคนทั่วไปอย่างเราๆ ในแง่โครงสร้างหรือกายวิภาคหรือเปล่า? 148 00:07:28,898 --> 00:07:31,902 คำตอบคือ ไม่ 149 00:07:31,902 --> 00:07:35,006 คนพวกนี้ฉลาดกว่าพวกเราหรือเปล่า? 150 00:07:35,006 --> 00:07:36,717 นักวิจัยให้พวกเขาทำแบบทดสอบทางปัญญามากมาย 151 00:07:36,717 --> 00:07:38,987 คำตอบคือ ก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่ากันเท่าไหร่ 152 00:07:38,987 --> 00:07:42,315 แต่มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ และบอกอะไรเราได้เยอะมาก 153 00:07:42,315 --> 00:07:44,423 นั่นคือ ความแตกต่างในสมองของแชมป์นักจำ 154 00:07:44,423 --> 00:07:46,990 กับกลุ่มควบคุมที่นำมาเปรียบเทียบ 155 00:07:46,990 --> 00:07:49,667 เมื่อนำคนสองกลุ่มนี้ไปเข้าเครื่อง fMRI 156 00:07:49,667 --> 00:07:51,711 สแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก 157 00:07:51,711 --> 00:07:56,717 ขณะที่พวกเขาจดจำตัวเลข ใบหน้าคน และรูปผลึกหิมะ 158 00:07:56,717 --> 00:07:59,033 นักวิจัยพบว่า สมองของแชมป์นักจำ 159 00:07:59,033 --> 00:08:01,277 มีการทำงานในจุดที่แตกต่าง 160 00:08:01,277 --> 00:08:03,288 จากคนทั่วไป 161 00:08:03,288 --> 00:08:06,573 ดูเหมือนว่าแชมป์นักจำจะใช้สมอง 162 00:08:06,573 --> 00:08:10,790 ส่วนที่ใช้ในการจำภาพพื้นที่และการนำทาง 163 00:08:10,790 --> 00:08:17,033 ทำไมล่ะ? แล้วเราจะเรียนรู้อะไรจากข้อค้นพบนี้ได้ไหม? 164 00:08:17,033 --> 00:08:21,233 การแข่งขันชิงแชมป์ความจำนั้น 165 00:08:21,233 --> 00:08:24,081 ก็เหมือนการแข่งขันสร้างและสะสมอาวุธ 166 00:08:24,081 --> 00:08:27,125 ทุกๆ ปี ใครคนหนึ่งจะคิดค้นวิธีใหม่ 167 00:08:27,125 --> 00:08:29,813 เพื่อให้จำได้มากขึ้นและเร็วขึ้น 168 00:08:29,813 --> 00:08:31,652 แล้วคนอื่นที่เหลือก็ต้องพยายามตีตื้น 169 00:08:31,652 --> 00:08:33,500 นี่คือเพื่อนของผม ชื่อ เบน พริดมอร์ 170 00:08:33,500 --> 00:08:35,250 นักจำแชมป์โลกสามสมัย 171 00:08:35,250 --> 00:08:37,083 บนโต๊ะตรงหน้าเขา 172 00:08:37,083 --> 00:08:40,777 มีไพ่ที่สับแล้ว 36 สำรับ 173 00:08:40,777 --> 00:08:43,525 ที่เขาต้องพยายามจำให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง 174 00:08:43,525 --> 00:08:47,881 โดยใช้เทคนิคที่เขาคิดค้นขึ้นและฝึกฝนจนชำนาญ 175 00:08:47,881 --> 00:08:49,792 เขาใช้เทคนิคคล้ายกันนี้ 176 00:08:49,792 --> 00:08:52,234 จำลำดับที่ถูกต้องทั้งหมด 177 00:08:52,234 --> 00:08:58,042 ของตัวเลขฐานสองที่สุ่มขึ้นมา 4,140 ตัว 178 00:08:58,042 --> 00:09:00,944 ภายในครึ่งชั่วโมง 179 00:09:00,944 --> 00:09:02,875 ใช่ครับ 180 00:09:02,875 --> 00:09:06,423 และแม้จะมีวิธีแตกต่างหลากหลาย 181 00:09:06,423 --> 00:09:10,000 ในการจำสิ่งต่างๆ ในการแข่งขันนี้ 182 00:09:10,000 --> 00:09:12,892 ทุกอย่าง ทุกเทคนิคที่ใช้กัน 183 00:09:12,892 --> 00:09:15,500 ที่สุดแล้วก็มาจากแนวคิด 184 00:09:15,500 --> 00:09:19,148 ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า การเข้ารหัสอย่างละเอียดลึกซึ้ง 185 00:09:19,148 --> 00:09:21,829 ซึ่งอธิบายได้ด้วยตัวอย่างเก๋ๆ 186 00:09:21,829 --> 00:09:23,875 ที่เรียกว่า ปฏิทรรศน์ เรื่อง Baker กับ baker 187 00:09:23,875 --> 00:09:25,437 มันเป็นอย่างนี้ครับ 188 00:09:25,437 --> 00:09:28,333 ถ้าผมบอกให้คนสองคนจำคำคำเดียวกัน 189 00:09:28,333 --> 00:09:29,900 ผมบอกคุณว่า 190 00:09:29,900 --> 00:09:33,527 "ให้จำว่ามีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เบเกอร์ (Baker)" 191 00:09:33,527 --> 00:09:35,033 นั่นคือชื่อเขา 192 00:09:35,033 --> 00:09:40,819 แล้วผมบอกคุณว่า "ให้จำว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง มีอาชีพเป็น เบเกอร์ (baker) หรือ คนทำขนมปัง" 193 00:09:40,819 --> 00:09:44,061 เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับมาถามคุณใหม่ 194 00:09:44,061 --> 00:09:47,100 ผมถามว่า "คุณจำคำนั้นได้ไหม 195 00:09:47,100 --> 00:09:48,477 ที่ผมบอกคุณสักพักก่อนหน้านี้? 196 00:09:48,477 --> 00:09:50,275 คุณจำได้ไหมว่าคำนั้นคืออะไร?" 197 00:09:50,275 --> 00:09:53,542 คนที่ผมบอกว่า ผู้ชายคนนี้ชื่อเบเกอร์ (Baker) 198 00:09:53,542 --> 00:09:55,861 จำคำว่าเบเกอร์ (Baker) ไม่ค่อยได้ 199 00:09:55,861 --> 00:09:59,712 เมื่อเทียบกับคนที่ผมบอกว่า เขาทำงานเป็นเบเกอร์ (baker) หรือคนทำขนมปัง 200 00:09:59,712 --> 00:10:02,791 คำคำเดียวกัน แต่คนจำได้มากน้อยต่างกัน แปลกไหมครับ 201 00:10:02,791 --> 00:10:04,768 มันเกิดอะไรขึ้น? 202 00:10:04,768 --> 00:10:09,804 นั่นเพราะชื่อเบเกอร์ (Baker) ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ 203 00:10:09,804 --> 00:10:12,095 มันไม่ได้เชื่อมโยง 204 00:10:12,095 --> 00:10:15,333 กับความทรงจำอื่นใดในหัวคุณเลย 205 00:10:15,333 --> 00:10:17,223 แต่สามัญนาม คำว่าเบเกอร์ (baker) 206 00:10:17,223 --> 00:10:19,094 เรารู้ว่ามันหมายถึงคนทำขนมปัง 207 00:10:19,094 --> 00:10:21,123 ที่ใส่หมวกตลกๆ สีขาว 208 00:10:21,123 --> 00:10:22,750 มีแป้งเลอะมือ 209 00:10:22,750 --> 00:10:24,825 มีกลิ่นขนมอบหอมๆ ติดตัวมาเวลากลับบ้าน 210 00:10:24,825 --> 00:10:26,952 หรือเราอาจจะรู้จักคนทำขนมปังสักคน 211 00:10:26,952 --> 00:10:28,363 และเมื่อเราได้ยินคำนี้ครั้งแรก 212 00:10:28,363 --> 00:10:31,208 เราก็สร้างความเชื่อมโยงเหล่านี้ขึ้น 213 00:10:31,208 --> 00:10:35,279 ซึ่งทำให้ในวันหน้าเราดึงความจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ง่ายกว่า 214 00:10:35,279 --> 00:10:38,237 ศาสตร์และศิลป์ของสิ่งที่เกิดขึ้น 215 00:10:38,237 --> 00:10:40,352 ในการแข่งขันชิงแชมป์นักจำ 216 00:10:40,352 --> 00:10:43,579 และการจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 217 00:10:43,579 --> 00:10:47,565 ก็คือการหาทางแปรรูปคำว่าเบเกอร์ (Baker) ที่เป็นชื่อคน 218 00:10:47,565 --> 00:10:49,561 ให้เป็นเบเกอร์ (baker) ที่แปลว่าคนทำขนมปัง 219 00:10:49,561 --> 00:10:52,948 เพื่อนำข้อมูลที่ขาดบริบท 220 00:10:52,948 --> 00:10:55,254 ความสำคัญ หรือความหมาย 221 00:10:55,254 --> 00:10:56,804 แล้วแปรรูปในทางใดทางหนึ่ง 222 00:10:56,804 --> 00:10:58,979 ให้มันมีความหมายขึ้นมา 223 00:10:58,979 --> 00:11:03,764 ในบริบทของสิ่งอื่นที่คุณมีอยู่ในหัว 224 00:11:03,764 --> 00:11:07,498 หนึ่งในเทคนิคอันปราณีตสำหรับช่วยจำนี้ 225 00:11:07,498 --> 00:11:11,417 มีอายุราว 2,500 ปี ย้อนไปในสมัยกรีกโบราณ 226 00:11:11,417 --> 00:11:13,395 โดยมีชื่อเรียกว่า วังแห่งความจำ 227 00:11:13,395 --> 00:11:16,820 มีเรื่องเล่าถึงที่มาของเทคนิคนี้ว่า 228 00:11:16,820 --> 00:11:19,792 กวีคนหนึ่ง ชื่อไซโมนิดิส 229 00:11:19,792 --> 00:11:21,698 ได้ไปงานเลี้ยงงานหนึ่ง 230 00:11:21,698 --> 00:11:23,946 เราถูกว่าจ้างให้ไปขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติ 231 00:11:23,946 --> 00:11:26,958 เพราะสมัยก่อน ถ้าคุณอยากจัดปาร์ตี้มันส์สุดเหวี่ยง 232 00:11:26,958 --> 00:11:30,170 คุณไม่จ้างดีเจหรอก คุณต้องจ้างกวี 233 00:11:30,170 --> 00:11:35,040 ไซโมนิดิสยืนขึ้น ร่ายบทกวีปากเปล่าจากความจำ เสร็จแล้วก็เดินออกไปจากประตู 234 00:11:35,040 --> 00:11:40,152 ทันใดนั้น ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงก็ถล่มลงมา 235 00:11:40,152 --> 00:11:42,833 ทุกคนในงานเสียชีวิตหมด 236 00:11:42,833 --> 00:11:45,398 ซากปรักหักพังไม่เพียงคร่าชีวิตทุกคนเท่านั้น 237 00:11:45,398 --> 00:11:49,262 แต่ยังทำลายศพจนเละเกินกว่าจะจำได้ว่าใครเป็นใคร 238 00:11:49,262 --> 00:11:51,583 ไม่มีใครบอกได้ ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง 239 00:11:51,583 --> 00:11:54,754 ไม่มีใครบอกได้ว่าใครนั่งอยู่ตรงไหน 240 00:11:54,754 --> 00:11:56,993 ญาติก็ไม่สามารถนำศพไปฝังให้เรียบร้อยได้ 241 00:11:56,993 --> 00:12:00,836 เป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซ้อนจริงๆ 242 00:12:00,836 --> 00:12:03,540 ไซโมนิดิสยืนอยู่ข้างนอก 243 00:12:03,540 --> 00:12:05,671 เป็นผู้รอดชีวิตคนเดียว ท่ามกลางซากปรักหักพัง 244 00:12:05,671 --> 00:12:09,307 เขาหลับตาลง แล้วก็ตระหนักว่า 245 00:12:09,307 --> 00:12:11,845 ภาพในความทรงจำของเขา 246 00:12:11,845 --> 00:12:16,990 มองเห็นว่าแขกแต่ละคนนั่งอยู่ตรงไหนในงานเลี้ยง 247 00:12:16,990 --> 00:12:19,333 แล้วเขาก็จูงมือญาติของผู้เสียชีวิต 248 00:12:19,333 --> 00:12:23,391 พาไปหาศพของคนที่เขารัก ท่ามกลางซากปรักหักพัง 249 00:12:23,391 --> 00:12:26,655 สิ่งที่ไซโมนิดิสค้นพบในขณะนั้น 250 00:12:26,655 --> 00:12:30,088 คือสิ่งที่ผมคิดว่าเราล้วนรู้อยู่ลึกๆ ในใจอยู่แล้ว 251 00:12:30,088 --> 00:12:32,500 นั่นคือ แม้ว่าเราจะความจำแย่ 252 00:12:32,500 --> 00:12:35,394 เมื่อให้จำชื่อคนและหมายเลขโทรศัพท์ 253 00:12:35,394 --> 00:12:38,052 และคำอธิบายวิธีการต่างๆ จากเพื่อนร่วมงานให้ครบถ้วน 254 00:12:38,052 --> 00:12:43,542 แต่เรามีความจำด้านภาพและสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมาก 255 00:12:43,542 --> 00:12:47,138 ถ้าผมให้คุณนึกถึงคำ 10 คำแรก 256 00:12:47,138 --> 00:12:49,602 ในเรื่องไซโมนิดิสที่ผมเพิ่งเล่าไป 257 00:12:49,602 --> 00:12:52,090 คุณคงนึกไม่ค่อยออกหรอก 258 00:12:52,090 --> 00:12:54,404 แต่ผมพนันได้เลยว่า 259 00:12:54,404 --> 00:12:57,087 ถ้าผมให้คุณนึก 260 00:12:57,087 --> 00:13:01,643 ว่าใครกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีแทน 261 00:13:01,643 --> 00:13:03,641 ในห้องโถงที่บ้านคุณ 262 00:13:03,641 --> 00:13:05,966 คุณจะมองเห็นภาพทันที 263 00:13:05,966 --> 00:13:08,496 หลักการเบื้องหลังเทคนิควังแห่งความจำ 264 00:13:08,496 --> 00:13:13,129 ก็คือการจินตนาการภาพอาคารแห่งหนึ่งไว้ในใจ 265 00:13:13,129 --> 00:13:14,875 แล้วเอาภาพต่างๆ 266 00:13:14,875 --> 00:13:17,083 ของสิ่งที่คุณต้องการจำใส่เข้าไป 267 00:13:17,083 --> 00:13:20,412 ยิ่งเป็นภาพที่บ้าบอ แปลก ประหลาด 268 00:13:20,412 --> 00:13:24,012 ตลก เซ็กซี่ มีกลิ่นฉุนเฉียวมากเท่าไหร่ 269 00:13:24,012 --> 00:13:26,887 มันก็ยิ่งลืมไม่ลงมากเท่านั้น 270 00:13:26,887 --> 00:13:29,721 คำแนะนำนี้มีมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว 271 00:13:29,721 --> 00:13:32,506 ย้อนไปถึงหนังสือโบราณภาษาละตินที่ว่าด้วยความจำ 272 00:13:32,506 --> 00:13:34,335 เอาล่ะ แล้วเทคนิคนี้มันทำงานอย่างไร? 273 00:13:34,335 --> 00:13:36,875 สมมติว่าคุณได้รับเชิญ 274 00:13:36,875 --> 00:13:40,681 ให้มายืนบนเวที TED แห่งนี้เพื่อกล่าวปาฐกถา 275 00:13:40,681 --> 00:13:43,215 คุณอยากพูดจากความจำของคุณ ไม่ใช่โพย 276 00:13:43,215 --> 00:13:48,260 และจะพูดอย่างที่ซิเซโรน่าจะทำ 277 00:13:48,260 --> 00:13:52,919 ถ้าเขาได้รับเชิญไปพูดที่ TEDx Rome เมื่อ 2,000 ปีก่อน 278 00:13:52,919 --> 00:13:55,177 สิ่งที่คุณอาจจะทำ 279 00:13:55,177 --> 00:14:00,396 คือจินตนาการตัวคุณเองอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของคุณ 280 00:14:00,396 --> 00:14:02,438 แล้วนึกถึงภาพอะไรที่ 281 00:14:02,438 --> 00:14:05,946 บ้าสุดๆ ตลกสุดๆ หรือจำได้ติดตาไม่ลืม 282 00:14:05,946 --> 00:14:08,929 เพื่อใช้เตือนให้คุณจำได้ว่า สิ่งแรกที่คุณอยากพูดถึง 283 00:14:08,929 --> 00:14:11,721 คือการแข่งขันที่แปลกประหลาดสุดๆ 284 00:14:11,721 --> 00:14:14,554 แล้วคุณก็เดินเข้าไปในบ้าน 285 00:14:14,554 --> 00:14:17,406 เห็นเจ้าปีศาจคุกกี้ มอนสเตอร์ 286 00:14:17,406 --> 00:14:19,293 อยู่บนหลังม้าชื่อมิสเตอร์ เอ็ด 287 00:14:19,293 --> 00:14:20,562 เพื่อเตือนให้คุณจำได้ 288 00:14:20,562 --> 00:14:23,736 ว่าคุณอยากพูดถึงเพื่อนของคุณชื่อเอ็ด คุก 289 00:14:23,736 --> 00:14:26,400 แล้วคุณก็เห็นภาพบริทนีย์ สเปียร์ส 290 00:14:26,400 --> 00:14:29,212 ที่ทำให้คุณจำตัวอย่างขำๆ ที่คุณอยากเล่าได้ 291 00:14:29,212 --> 00:14:30,884 คุณเดินเข้าไปในครัว 292 00:14:30,884 --> 00:14:32,729 และหัวข้อที่สี่ที่คุณจะพูดคือ 293 00:14:32,729 --> 00:14:35,667 การเดินทางที่แปลกประหลาดที่คุณผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งปี 294 00:14:35,667 --> 00:14:40,631 โดยมีเพื่อนๆ ของคุณคอยช่วยให้คุณจำสิ่งเหล่านี้ได้ 295 00:14:40,631 --> 00:14:44,850 นี่คือวิธีที่นักพูดชาวโรมันจดจำปาฐกถาของเขา 296 00:14:44,850 --> 00:14:48,244 ไม่ใช่จำคำต่อคำ ซึ่งจะทำให้คุณสับสน 297 00:14:48,244 --> 00:14:50,656 แต่จำใจความสำคัญเป็นรายหัวข้อ (topic) 298 00:14:50,656 --> 00:14:53,563 ที่จริง คำว่า ประโยคใจความสำคัญ (Topic sentence) 299 00:14:53,563 --> 00:14:56,863 นั้นมาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า "topos" 300 00:14:56,863 --> 00:14:58,583 ซึ่งแปลว่า สถานที่ 301 00:14:58,583 --> 00:15:00,150 นั่นเป็นเบาะแสที่ชี้ว่า 302 00:15:00,150 --> 00:15:02,470 เมื่อก่อนคนเราคิดถึงสุนทรพจน์และวาทศิลป์ 303 00:15:02,470 --> 00:15:04,708 โดยใช้ถ้อยคำที่เกี่ยวกับสถานที่ 304 00:15:04,708 --> 00:15:06,645 วลีที่ว่า "in the first place" ที่แปลว่า ตั้งแต่แรก 305 00:15:06,645 --> 00:15:10,068 ก็หมายถึงจุดแรกในวังแห่งความจำของเรา 306 00:15:10,068 --> 00:15:12,048 ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก 307 00:15:12,048 --> 00:15:13,948 และผมก็หลงใหลเรื่องนี้มาก 308 00:15:13,948 --> 00:15:16,696 ผมไปงานแข่งขันความจำแบบนี้อีกสองสามที่ 309 00:15:16,696 --> 00:15:19,257 แล้วก็เกิดความคิดว่าผมน่าจะเขียนบทความ ที่ยาวกว่าเดิม 310 00:15:19,257 --> 00:15:22,550 เกี่ยวกับวัฒนธรรมกลุ่มย่อย ของนักแข่งขันชิงแชมป์ความจำ 311 00:15:22,550 --> 00:15:24,577 แต่มันมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง 312 00:15:24,577 --> 00:15:27,325 นั่นคือ การแข่งขันความจำ 313 00:15:27,325 --> 00:15:31,054 เป็นการแข่งขันที่น่าเบื่ออย่างแสนสาหัส 314 00:15:31,054 --> 00:15:33,660 (เสียงหัวเราะ) 315 00:15:33,660 --> 00:15:38,210 จริงๆ นะครับ มันเหมือนกับเอาคนจำนวนมาก มานั่งทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย 316 00:15:38,210 --> 00:15:39,904 คือ เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ แล้ว ก็คือ 317 00:15:39,904 --> 00:15:41,283 ตอนที่ใครสักคนเริ่มนวดขมับของเขา แค่นั้นแหละ 318 00:15:41,283 --> 00:15:44,321 แล้วผมเป็นนักข่าวนะ ผมต้องการเรื่องไปเขียนข่าว 319 00:15:44,321 --> 00:15:48,098 ผมรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะเหลือเชื่อ ในหัวของคนเหล่านี้ 320 00:15:48,098 --> 00:15:50,198 แต่ผมไม่สามารถเข้าถึงมันได้ 321 00:15:50,198 --> 00:15:52,917 ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าผมจะเล่าเรื่องนี้ 322 00:15:52,917 --> 00:15:55,667 ผมต้องลองสวมบทบาทเป็นคนเหล่านี้สักหน่อย 323 00:15:55,667 --> 00:15:59,248 ผมก็เลยเริ่มใช้เวลา 15 ถึง 20 นาที ทุกๆ เช้า 324 00:15:59,248 --> 00:16:02,083 ก่อนจะนั่งลงทำงานที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ 325 00:16:02,083 --> 00:16:04,604 พยายามจำอะไรสักอย่าง 326 00:16:04,604 --> 00:16:06,273 อาจจะเป็นบทกวี 327 00:16:06,273 --> 00:16:08,312 ชื่อคนจากหนังสือรุ่นเก่าๆ 328 00:16:08,312 --> 00:16:10,571 ที่ผมซื้อมาจากตลาดขายของมือสอง 329 00:16:10,571 --> 00:16:16,067 แล้วผมก็พบว่ามันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ 330 00:16:16,067 --> 00:16:18,145 ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย 331 00:16:18,145 --> 00:16:21,508 มันสนุกเพราะจริงๆ มันไม่ใช่การฝึกความจำหรอก 332 00:16:21,508 --> 00:16:24,546 แต่เป็นการพยายามพัฒนาความสามารถ 333 00:16:24,546 --> 00:16:26,975 ในการสร้างสรรค์ จินตนาการ 334 00:16:26,975 --> 00:16:29,869 ภาพที่น่าขำ เซ็กซี่ ตลก 335 00:16:29,869 --> 00:16:33,994 และจำได้ไม่ลืมในใจของคุณ 336 00:16:33,994 --> 00:16:35,577 และผมก็สนุกไปกับมันมาก 337 00:16:35,577 --> 00:16:42,234 นี่คือภาพผมในชุดมาตรฐาน สำหรับฝึกความจำสำหรับแข่งขัน 338 00:16:42,234 --> 00:16:44,200 นั่นคือที่อุดหูคู่หนึ่ง 339 00:16:44,200 --> 00:16:47,609 และแว่นตานิรภัยที่พ่นสีดำทั้งหมด 340 00:16:47,609 --> 00:16:50,282 เหลือแค่รูเล็กๆ สองรู 341 00:16:50,282 --> 00:16:55,608 เพราะสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจเป็นศัตรูสำคัญ ของนักแข่งขันชิงแชมป์ความจำ 342 00:16:55,608 --> 00:17:01,375 ในที่สุด ผมก็กลับไปที่การแข่งขันที่ผมเขียนถึงเมื่อปีก่อน 343 00:17:01,375 --> 00:17:03,481 และคิดว่าจะลงแข่งดู 344 00:17:03,481 --> 00:17:06,783 เพื่อทดลองทำข่าวแบบมีส่วนร่วม 345 00:17:06,783 --> 00:17:11,304 ผมหวังว่า มันน่าจะเป็นบทส่งท้ายเจ๋งๆ ให้งานวิจัยของผมครั้งนี้ 346 00:17:11,304 --> 00:17:15,042 ปัญหาคือ การทดลองมันเลยเถิดไปไกล 347 00:17:15,042 --> 00:17:17,779 คือ ผมชนะการแข่งขัน 348 00:17:17,779 --> 00:17:20,882 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น 349 00:17:20,882 --> 00:17:26,731 (เสียงปรบมือ) 350 00:17:26,731 --> 00:17:28,436 เอาล่ะ มันก็ดีนะครับ 351 00:17:28,436 --> 00:17:31,263 การที่เราสามารถจดจำปาฐกถา 352 00:17:31,263 --> 00:17:34,357 เบอร์โทรศัพท์ และรายการจ่ายตลาด 353 00:17:34,357 --> 00:17:37,133 แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่สาระสำคัญ 354 00:17:37,133 --> 00:17:39,331 มันเป็นแค่เทคนิค 355 00:17:39,331 --> 00:17:41,333 หรือลูกเล่นพิเศษที่ได้ผล 356 00:17:41,333 --> 00:17:44,516 เพราะมันตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 357 00:17:44,516 --> 00:17:46,292 ของการทำงานของสมอง 358 00:17:46,292 --> 00:17:50,244 คุณไม่ต้องสร้างวังแห่งความจำ 359 00:17:50,244 --> 00:17:52,250 หรือจำไพ่ทั้งสำรับ 360 00:17:52,250 --> 00:17:54,263 เพื่อใช้ประโยชน์จากความเข้าใจ 361 00:17:54,263 --> 00:17:56,907 ว่าจิตใจของคุณทำงานอย่างไร 362 00:17:56,907 --> 00:17:58,700 เรามักพูดถึงคนที่ความจำเป็นเลิศ 363 00:17:58,700 --> 00:18:01,000 ราวกับว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด 364 00:18:01,000 --> 00:18:02,890 แต่มันไม่ใช่เลย 365 00:18:02,890 --> 00:18:06,658 ความจำที่เป็นเลิศนั้นมาจากการเรียนรู้ 366 00:18:06,658 --> 00:18:10,127 ในระดับพื้นฐานที่สุด เราจะจำอะไรได้เมื่อเราใส่ใจ 367 00:18:10,127 --> 00:18:13,333 เราจำได้เมื่อเราเอาใจใส่อย่างลึกซึ้ง 368 00:18:13,333 --> 00:18:14,854 เราจำได้เมื่อเราสามารถ 369 00:18:14,854 --> 00:18:17,625 นำข้อมูลและประสบการณ์ที่มี 370 00:18:17,625 --> 00:18:19,731 มาพิจารณาว่ามันมีความหมายกับเราอย่างไร 371 00:18:19,731 --> 00:18:22,154 ทำไมมันจึงสำคัญ ทำไมมันจึงมีสีสันน่าสนใจ 372 00:18:22,169 --> 00:18:25,098 เมื่อเราสามารถแปรรูปมัน 373 00:18:25,098 --> 00:18:26,592 ให้มีความหมายขึ้นมา 374 00:18:26,592 --> 00:18:28,819 ในบริบทของสิ่งอื่นๆ ที่ล่องลอยอยู่ในหัวของเรา 375 00:18:28,819 --> 00:18:34,079 เมื่อเราสามารถเปลี่ยนคนชื่อ Bakers ให้เป็น bakers ที่แปลว่าคนทำขนมปัง 376 00:18:34,079 --> 00:18:36,505 วังแห่งความจำ เทคนิคช่วยจำพวกนี้ 377 00:18:36,505 --> 00:18:38,375 มันเป็นแค่ทางลัด 378 00:18:38,375 --> 00:18:40,940 ที่จริง มันไม่ใช่ทางลัดด้วยซ้ำ 379 00:18:40,940 --> 00:18:44,343 มันได้ผล เพราะมันบังคับให้คุณใช้ความคิดมากขึ้น 380 00:18:44,343 --> 00:18:48,283 มันบังคับให้คุณคิด ประมวลผลข้อมูลอย่างลึกซึ้ง 381 00:18:48,283 --> 00:18:49,804 ให้คุณมีสติ สมาธิ 382 00:18:49,804 --> 00:18:54,032 ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนกันอยู่เป็นประจำ 383 00:18:54,032 --> 00:18:56,594 แต่ที่จริง มันไม่มีทางลัด 384 00:18:56,594 --> 00:18:59,450 นี่เป็นเทคนิคที่ทำให้สิ่งต่างๆ มันจำง่าย 385 00:18:59,450 --> 00:19:03,593 และผมคิดว่า ถ้าจะมีอะไรสักอย่าง ที่ผมอยากทิ้งท้ายไว้ให้คุณคิด 386 00:19:03,593 --> 00:19:06,327 ก็คงเป็นสิ่งที่เรื่องราวของชายขื่อ อี พี 387 00:19:06,327 --> 00:19:10,125 ชายความจำเสื่อมที่จำไม่ได้ว่าตัวเองความจำเสื่อม 388 00:19:10,125 --> 00:19:11,615 ทิ้งท้ายไว้ให้ผมคิด 389 00:19:11,615 --> 00:19:13,713 นั่นคือความคิดที่ว่า 390 00:19:13,713 --> 00:19:18,750 ชีวิตของเราเป็นผลรวมของความทรงจำของเรา 391 00:19:18,750 --> 00:19:24,583 เราจะยอมสูญเสียความทรงจำไปมากแค่ไหน 392 00:19:24,583 --> 00:19:28,250 จากชีวิตของเราที่แสนสั้นอยู่แล้ว 393 00:19:28,250 --> 00:19:35,210 ด้วยการหมกมุ่นอยู่กับแบล็คเบอรี่หรือไอโฟน 394 00:19:35,210 --> 00:19:39,008 ด้วยการไม่เอาใจใส่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา 395 00:19:39,008 --> 00:19:40,583 คนที่กำลังคุยกับเรา 396 00:19:40,583 --> 00:19:42,654 ด้วยความขี้เกียจจนไม่ยอมคิด 397 00:19:42,654 --> 00:19:46,344 พิจารณาอะไรให้ลึกซึ้ง 398 00:19:46,344 --> 00:19:48,788 ผมเรียนรู้มากับตัวเอง 399 00:19:48,788 --> 00:19:52,185 ว่ามีความสามารถในการจำอันเหลือเชื่อ 400 00:19:52,185 --> 00:19:54,188 ซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคน 401 00:19:54,188 --> 00:19:57,585 ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตที่น่าจดจำ 402 00:19:57,585 --> 00:19:59,971 คุณต้องเป็นคนที่ 403 00:19:59,971 --> 00:20:02,937 ใส่ใจเสมอที่จะจดจำ 404 00:20:02,937 --> 00:20:04,706 ขอบคุณครับ 405 00:20:04,706 --> 00:20:07,796 (เสียงปรบมือ)