เดร อูร์ฮาน: โรงละครแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นบนโคปาคาบาน่า ซึ่งเป็นชายหาดที่โด่งดังที่สุดในโลก แต่ห่างจากนี่ไป 25 กิโลเมตร ในตอนเหนือของริโอ มีชุมชนหนึ่งชื่อว่าวีล่า ครูเซโคร มีคนประมาณ 60,000 คน อาศัยอยู่ในชุมชมนี้ คนที่นี่จากเมืองริโอส่วนใหญ่จะรู้จัก วีล่า ครูเซโครผ่านรายงานข่าว และโชคร้ายที่ข่าวประจำเกี่ยวกับวีล่า ครูเซโคร มักจะไม่ใช่ข่าวดี แต่วีล่า ครูเซโครก็เป็นที่ที่ เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน เจโรน คูลอาสส์: สิบปีที่แล้ว เรามาริโอครั้งแรก เพื่อถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิต ในสลัมของบราซิล ตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่าสลัมคือชุมชนนอกระบบ ที่พวกเขารู้จักกันมานาน ตอนที่อพยพมาจากชนบท เข้ามาในเมืองเพื่อหางานทำ เป็นเหมือนเมืองในตัวเมืองอีกทีหนึ่ง ที่โด่งดังจากปัญหาต่าง ๆ เช่นอาชญากรรม ความยากจน สงครามยาเสพติดที่รุนแรงระหว่าง ตำรวจกับแก๊งค้ายาเสพติด จึงเป็นสิ่งที่สะดุดใจเรา นี่คือชุมชนที่ผู้คน ผู้อาศัยสร้างขึ้นด้วยมือของตัวเอง โดยไม่มีแผนแม่บทเลย เหมือนงานยักษ์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง พวกเรามาจากฮอลแลนด์ ที่ทุกอย่างมีการวางแผนล่วงหน้า เรามีแม้กระทั่งกฎสำหรับวิธีการปฏิบัติตามกฎ (เสียงหัวเราะ) อูร์ฮาน: วันสุดท้ายของการถ่ายทำ เราไปลงเอย อยู่ในเมืองวีล่า ครูเซโคร และเรานั่งลง ดื่มด้วยกัน และก็มองลงไปเห็นเนินเขานี้ ที่มีบ้านพวกนี้อยู่เรียงราย บ้านส่วนใหญ่ดูเหมือนยังสร้างไม่เสร็จ และมีกำแพงอิฐเปลือย ๆ แต่เราเห็นบ้านบางหลัง ที่ฉาบผนังและทาสีแล้ว ทันใดนั้น เราก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา ว่ามันจะเป็นยังไง ถ้าบ้านทุกหลัง ได้รับการฉาบผนังและทาสี แล้วเราก็จินตนาการถึงงานออกแบบชิ้นใหญ่ งานศิลป์ชิ้นยักษ์ชิ้นหนึ่ง ใครจะคิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ในที่แบบนี้ล่ะ แล้วเราก็สงสัย มันจะเป็นไปได้ไหม เราเลยเริ่มต้นนับจำนวนบ้าน แต่ไม่นานเราก็หลงจำนวน แต่ว่าแนวคิดนี้ก็ยังฝังแน่น คูลอาสส์: เรามีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ทำงานNGOในวีล่า ครูเซโคร เขาชื่อแนนโค่ เขาก็ชอบแนวคิดนี้เหมือนกัน เขาพูดว่า "รู้ไหม ทุกคนที่นี่ ต้องชอบแน่ ๆ ที่จะได้มีบ้านฉาบผนัง และทาสีเสร็จสรรพ เหมือนบ้านสร้างเสร็จซะที" เขาเลยแนะนำให้เรารู้จักคนที่ได้เรื่อง แล้ววีโต้กับเมารินก็มาเป็นลูกทีมของเรา เราเลือกบ้านสามหลังใจกลางชุมชน เราเริ่มจากตรงนี้ เราเริ่มร่างแบบก่อน ทุกคนชอบแบบร่างนี้ ภาพเด็กชายเล่นว่าวดีที่สุด เราเลยเริ่มทาสีและสิ่งแรกที่พวกเราทำคือ ทาสีพื้นทุกอย่างให้เป็นสีฟ้า เราคิดว่ามันก็ดูดีพอแล้วนะ แต่ทุกคนไม่ชอบเลย ชาวบ้านที่นั่น เกลียดมันมาก พวกเขาว่า "คุณทำอะไรน่ะ คุณทาสีบ้านเราเป็นสีเดียวกับ สถานีตำรวจ" (เสียงหัวเราะ) สำหรับสลัมในบราซิลนี่ไม่ใช่เรื่องดี แล้วยังเป็นสีเดียวกับคุกอีกต่างหาก เราเลยทำต่อไปอย่างรวดเร็ว และเราวาดรูปเด็กผู้ชาย เราคิดว่าเราทำเสร็จละ เราพอใจกับมันมาก แต่ก็ ยังไม่ดีพอ เพราะเด็ก ๆ เริ่มเข้ามาหาเรา ถามว่า "มันเป็นภาพเด็กชายเล่นว่าว แต่ไหนล่ะ ว่าวของเขา" เราตอบไปว่า "อ๋อ มันเป็นศิลปะ รู้ไหม เธอต้องจินตนาการว่าวเอาเอง" (เสียงหัวเราะ) เด็ก ๆ พูดต่อว่า "ไม่ ไม่ ไม่ เราอยากเห็นว่าว" เราเลยติดตั้งว่าว สูงขึ้นไปบนเนินเขา ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กชายเล่นว่าวที่ข้างล่าง และคุณจะเห็นว่ามีว่าวอยู่จริง ๆ ข่าวท้องถิ่นเริ่มเขียนข่าวเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี แม้แต่เดอะการ์เดียนยังพาดหัวข่าว: "สลัมฉาวกลายเป็นแกลลอรีกลางแจ้ง" คูลอาสส์: หลังจากที่เราได้รับกำลังใจ จากความสำเร็จนี้ เรากลับมาที่ริโอเพื่อทำโครงการที่สอง แล้วเราก็บังเอิญมาเจอถนนสายนี้เข้า ที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นคอนกรีต เพื่อป้องกันดินโคลนถล่ม เรามองเห็นเหมือนแม่น้ำกลางชุมชน และเรานึกภาพแม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำในญี่ปุ่น มีปลาคาร์พโคอิแหวกว่ายทวนกระแสน้ำ เราจึงตัดสินใจว่าจะทาสีแม่น้ำสายนี้ เราชวนร็อบ แอ็ดมิรอล ซึ่งเป็นช่างสัก ที่เชี่ยวชาญลวดลายแบบญี่ปุ่นมาทำงานด้วยกัน เราไม่รู้เลยว่าเราจะใช้เวลา เกือบหนึ่งปีทาสีแม่น้ำสายนี้ กับจีโอวานี โรบินโญ่และวีตอร์ ที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง เราถึงขั้นย้ายไปอยู่ในย่านนั้นเลย ตอนที่ อีลิเอียส ผู้ที่อยู่บนถนนเส้นนั้น บอกให้เราเข้าไปอยู่ในบ้านเขา อยู่ร่วมกับครอบครัวเขาได้ เป็นเรื่องที่วิเศษมาก แต่โชคร้ายที่ระหว่างนั้น มีสงครามย่อม ๆ ปะทุขึ้นระหว่างตำรวจ กับพวกแก๊งค้ายาเสพย์ติดพอดี (วิดีโอ) (เสียงยิงปืน) เราได้เรียนรู้ว่าในช่วงเวลาแบบนี้ ผู้คนในชุมชนเกาะกันเหนียวแน่นจริงๆ ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากแบบนี้ แต่เราก็ได้เรียนรู้สิ่งหนึ่ง ที่สำคัญมากเช่นกัน คือความสำคัญของบาร์บีคิว (เสียงหัวเราะ) เพราะเวลาที่คุณจัดงานเลี้ยงบาร์บีคิว คุณเปลี่ยนสถานะจากแขกเป็นเจ้าบ้าน เราเลยตัดสินใจจัดงานนี้ แทบจะสองสามสัปดาห์ต่อครั้ง ทำให้เราได้รู้จักทุก ๆ คนในย่านนั้น คูลอาสส์: แต่เรายังไม่ทิ้งโครงการทาสีเนินเขานะ อูร์ฮาน: ใช่ เรากำลังพูดถึง ขอบเขตของโครงการนี้ เพราะงานทาสีครั้งนี้ มันใหญ่มาก ๆ และมีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย และกระบวนการของมันแทบจะ ทำให้เราเป็นบ้าไปเองด้วยซ้ำ แต่เราก็คิดได้ว่าไม่แน่ ตอนที่ทำงาน ตลอดเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนบ้าน อาจจะมีความสำคัญมากกว่า งานทาสีด้วยซ้ำ คูลอาสส์: หลังจากนั้น ภูเขาลูกนี้ ความคิดยังคงมีอยู่ และเราก็เริ่มร่างแบบภาพ แบบจำลอง และเราตัดบางอย่างออกมา เราเค้นความคิดเรา แบบของเรา ต้องมีความง่ายยิ่งกว่าง่ายกว่าโครงการก่อน เราจะได้ชาวบ้านมาช่วยทาสีหลายคน และทาสีบ้านหลายหลังไปพร้อม ๆ กัน และเรามีโอกาสทดลองแนวคิดนี้ ในชุมชนแห่งหนึ่งย่านกลางเมืองริโอ ชื่อซานต้า มาร์ทา และเราออกแบบสถานที่นี้แบบนี้ ซึ่งหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ชวนชาวบ้านมาร่วมงานได้ เพราะว่าถ้าความคิดคุณใหญ่จนเกินงาม มันจะง่ายกว่ายิ่งมีชาวบ้านมาทำงานด้วยกัน และชาวบ้านซานต้า มาร์ทา ก็มารวมตัวกันในเวลาเดือนเศษ พวกเขาก็เปลี่ยนจตุรัสแห่งนั้นเป็นแบบนี้ (เสียงปรบมือ) และภาพนี้อย่างไรก็ตามเผยแพร่ไปทั่วโลก อูร์ฮาน:จากนั้นเราได้รับโทรศัพท์ ที่ไม่เคยคาดคิด จากโครงการศิลป์ฝาผนังฟิลาเดลเฟีย และพวกเขามีคำถามแบบนี้ ถ้าแนวคิดนี้ และวิธีการของเรา ถ้ามันจะได้ผลจริง ๆ ในนอร์ทฟิลลี่ ที่ซึ่งมีเพื่อนบ้านยากจนที่สุด ในสหรัฐอเมริกา เราตอบไปทันทีว่าได้ เราก็ยังไม่มีความคิดเลยว่าจะทำยังไง แต่ดูเหมือนว่างานนี้ท้าทายความสนใจมากเลย แล้วเราทำสิ่งเดียวกับที่เราทำในริโอ เราย้ายเข้าไปเป็นเพื่อนบ้านในที่นั้น และเริ่มงานเลี้ยงบาบีคิว (เสียงหัวเราะ) ดังนั้นโครงการนี้ใช้เวลาเกือบสองปีจึงแล้วเสร็จ และเราออกแบบบ้านแต่ละหลัง ให้ทุก ๆ บ้านบนถนนสายที่จะทาสี และเราออกแบบร่วมกัน ร่วมกับเจ้าของร้านชำท้องถิ่น เจ้าของตึก และทีมงานราวสิบสองคนทั้งวัยรุ่นชายและหญิง จ้างพวกเขามาและฝึกอบรมให้เป็นช่างทาสี และพร้อมกับพวกเขาร่วมกันแปลงโฉม ละแวกชุมชนของตัวเอง ทำให้ถนนทั้งสายกลายเป็นงานหลากสีชิ้นยักษ์ (เสียงปรบมือ) ในท้ายที่สุด เมืองฟิลาเดลเฟีย ขอบคุณชาวบ้านทุกคน และขอมอบความดีความชอบ ให้กับความสำเร็จของพวกเขา คูลอาสส์: อึม ตอนนี้เราทาสีถนนทั้งสายแล้ว แล้วถ้าทาสีภูเขาทั้งลูกตอนนี้ล่ะ เราเริ่มต้นมองหาเงินทุนสนับสนุน แต่แทนที่ เรามองไปที่ปัญหา เช่น มีบ้านกี่หลังที่กำลังจะไปทาสี ทั้งหมดมีกี่ตารางเมตรที่ต้องทาสีบ้าง ต้องใช้สีทามากน้อยแค่ไหน และต้องจ้างคนมาทาสีจำนวนกี่คน และเราต้องพยายามถึงกี่ปีกับการเขียนแบบ สำหรับเงินทุนและตอบคำถามเหล่านี้ แต่เรากลับคิดว่า แทนที่จะตอบคำถามทั้งหมดเหล่านี้ เราต้องรู้จริง ๆ ก่อนว่าเรากำลังจะไปทำอะไร ก่อนที่คุณจะไปที่นั่นจริง ๆ และเริ่มงาน และบางทีมันเป็นเรื่องผิดพลาดหลงทางที่คิด เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น มันทำให้หลงลืมสิ่งมหัศจรรย์ ที่เราเคยเรียนรู้มาก่อน กับเรื่องที่ว่าถ้าคุณไปบางแห่ง และใช้เวลาอยู่ที่นั่น คุณสามารถทำให้โครงการเติบโตตามธรรมชาติ และมีวิถึชีวิตในแบบของมันเอง อูร์ฮาน: และแล้วเราก็ทำอย่างนี้ เราตัดสินใจใช้แผนนี้และโยนมันทิ้งไปทั้งหมด ตัวเลขทั้งหลายทั้งปวง และแนวคิดและข้อสันนิษฐานทุกอย่าง และย้อนกลับไปที่แนวคิดพื้นฐาน ที่ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงภูเขานี้ เป็นงานศิลป์ขนาดยักษ์ และแทนที่จะมองหาเงินทุน เราเริ่มต้นโครงการรณรงค์รับเงินบริจาค ภายในระยะเวลาเดือนเศษ มีผู้คนมากกว่า1,500 คนรวมเงินกัน และบริจาคมามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ สำหรับเรา นี่เป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์มาก เพราะตอนนี้-- (เสียงปรบมือ) เพราะในที่สุดเราก็มีอิสระ ที่จะถอดบทเรียนที่เราเคยเรียนรู้ และทำโครงการในแบบที่เราเคยทำ ในวิธีการที่สลัมเคยทำมา จากฐานสู่ยอด จากล่างขึ้นบน โดยไม่มีแผนแม่บทใด ๆ คูลอาสส์: และแล้วเรากลับไปที่นั่น และจ้างแอลเจโล่ เขาเป็นช่างท้องถิ่นที่ วีล่า ครูเซโคร ที่เก่งมาก และเขารู้จักแทบทุกคนแถวนั้น แล้วเราก็จ้างอิลิเอียส เจ้าของห้องเช่าเก่าของเรา ผู้ที่เขิญเราเข้าไปอยู่ในบ้านเขา และเขาคือเจ้าพ่อวงการก่อสร้าง การทำงานร่วมกับพวกเขา เราตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มจากที่ไหน เราเลือกจุดนี้ในวีล่า ครูเซโคร และบ้านที่กำลังฉาบฝาผนังที่เราพูดถึง และข้อดีในการทำงานร่วมกับพวกเขา พวกเขาตัดสินใจว่าจะทาสีบ้านหลังใดก่อน พวกเขายังพิมพ์เสื้อยืด พวกเขาพิมพ์แผ่นป้าย อธิบายทุกอย่างให้กับทุกคน และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน บทความเกี่ยวกับแองเจโลที่เป็นข่าว อูร์ฮาน: ดังนั้นตอนที่เรื่องนี้ได้ผล เรากำลังนำแนวคิดนี้ไปทั่วโลก เหมือนกับโครงการที่เราทำในฟิลาเดลเฟีย เรายังได้รับเชิญไปประชุมเชิงปฏิบัติการ อย่างเช่นที่คูราเซา และตอนนี้เราก็กำลังวางแผนโครงการขนาดใหญ่ ในเฮติ คูลอาสส์: ดังนั้นสลัมจึงไม่ใช่แค่สถานที่ ที่แนวคิดนี้ได้เริ่มต้นขึ้นมา แต่ยังเป็นสถานที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริง คือทำงานโดยไม่ต้องมีแผนแม่บท เพราะชุมชนพวกนี้นอกระบบอยู่แล้ว นี่ก็คือแรงบันดาลใจ-- ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของผู้คน เราแทบจะทำงานเหมือนวงดุรียางค์ ที่เรามีเครื่องดนตรีนับได้เป็นร้อยชิ้น คนบรรเลงพร้อมกันสร้างสรรค์เสียงเพลง อูร์ฮาน: ดังนั้นเราเลยอยากขอบคุณทุกคน ที่อยากมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความฝันนี้ และได้สนับสนุนเรามาตลอด และเราก็ตั้งใจจะทำต่อไป คูลอาสส์:ครับ แล้ววันที่สวยงามจะไม่นาน ตอนที่สีต่างๆ เริ่มถูกทาบนกำแพงเหล่านี้ เราหวังว่าชาวบ้านจะมาร่วมมือกับเรามากขึ้น เข้าร่วมความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่แน่ สักวันหนึ่ง ทั้งชุมชนวีล่า ครูเซโคร จะได้รับการทาสี อูร์ฮาน: ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)