1 00:00:06,457 --> 00:00:10,186 Albert Einstein ผู้มีบทบาท ในการริเริ่มกลศาสตร์ควอนตัม 2 00:00:10,186 --> 00:00:12,585 ผ่านทฤษฏีปรากฏการโฟโตอิเล็กทริกของเขา 3 00:00:12,585 --> 00:00:16,987 แต่ยังคงขัดแย้งกันอยู่อย่างลึกๆ กับหลักปรัชญา 4 00:00:16,987 --> 00:00:21,325 และกระทั่งสิ่งที่พวกเราจำกันได้มากที่สุด โดยที่เขาเป็นผู้ให้กำเนิด E=MC^2 5 00:00:21,325 --> 00:00:26,681 สิ่งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่เขาอุทิศ ให้วงการฟิสิกส์คือบทความในปี 1935 6 00:00:26,681 --> 00:00:31,635 ร่วมด้วยผู้ร่วมงานอายุน้อยของเขา Boris Podolsky และ Nathan Rosen 7 00:00:31,635 --> 00:00:35,925 เป็นบทความที่แปลกประหลาดในเชิงปรัชญา จนย่างเข้าสู่ในช่วงทศวรรษ 80 8 00:00:35,925 --> 00:00:41,871 กระดาษ EPR แผ่นนี้ ได้กลายมาเป็นศูนย์กลาง สำหรับการเข้าใจสิ่งใหม่ๆในควอนตัมฟิสิกส์ 9 00:00:41,871 --> 00:00:44,160 ด้วยการอธิบายถึงปรากฏการณ์แปลกประหลาด 10 00:00:44,160 --> 00:00:47,842 ซึ่ง ณ ตอนนี้รู้จักกันในนาม สถานะเกี่ยวพัน (Entangled states) 11 00:00:47,842 --> 00:00:52,023 เริ่มด้วยการพิจารณาถึงจุดกำเนิด ที่แยกอนุภาคออกเป็น 2 ส่วน 12 00:00:52,023 --> 00:00:54,922 โดยทั้ง 2 สามารถวัดคุณสมบัติได้ 13 00:00:54,922 --> 00:00:57,537 ซึ่งแต่ละส่วน วัดได้ค่าที่เป็นไปได้ 14 00:00:57,537 --> 00:00:59,108 ในความน่าจะเป็นที่เท่ากัน 15 00:00:59,108 --> 00:01:01,748 สมมติ 1 กับ 0 สำหรับคุณสมบัติแรก 16 00:01:01,748 --> 00:01:03,950 และ A กับ B สำหรับอันที่สอง 17 00:01:03,950 --> 00:01:05,492 เมื่อเริ่มต้นการวัด 18 00:01:05,492 --> 00:01:09,040 ภายหลังจากการวัดของคุณสมบัติ ที่เหมือนกัน ของอนุภาคเดียวกัน 19 00:01:09,040 --> 00:01:11,557 จะต้องให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน 20 00:01:11,557 --> 00:01:13,512 ความแปลกในการเกี่ยวพันในแบบแผนนี้ 21 00:01:13,512 --> 00:01:15,765 ไม่ใช่แค่สถานะของอนุภาคเพียงอย่างเดียว 22 00:01:15,765 --> 00:01:18,381 ที่ไม่สามารถรู้ได้จนกว่าจะได้รับการวัด 23 00:01:18,381 --> 00:01:21,194 แต่รวมถึงสถานะภายหลังการวัด 24 00:01:21,194 --> 00:01:24,114 ที่จะส่งผลต่ออีกอนุภาค 25 00:01:24,114 --> 00:01:26,624 ถ้าสถานะของอนุภาคแรก คือ 1 26 00:01:26,624 --> 00:01:29,118 และวัดเหมือนเดิมด้วยวิธีแบบที่ 2 27 00:01:29,118 --> 00:01:32,472 คุณก็จะมีโอกาศ 50/50 ที่จะได้ผล A หรือ B 28 00:01:32,472 --> 00:01:34,668 แต่ถ้าวัดย้อนกลับไปยังการวัดแบบที่ 1 29 00:01:34,668 --> 00:01:37,673 คุณก็จะมีโอกาศ 50/50 ที่จะได้ 0 30 00:01:37,673 --> 00:01:41,207 แม้ว่าอนุภาคนั้นจะได้รับ การวัดแบบที่ 1 ไปแล้วก็ตาม 31 00:01:41,207 --> 00:01:44,887 ดังนั้นการเปลี่ยนการวัด คุณสมบัติกลับไปกลับมา 32 00:01:44,887 --> 00:01:47,426 ทำให้เกิดการสุ่มค่าใหม่ 33 00:01:47,426 --> 00:01:51,077 สิ่งที่แปลกไปยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อสังเกตอนุภาคทั้งสอง 34 00:01:51,077 --> 00:01:53,934 มันจะให้ผลลัพธ์สุ่มออกมา 35 00:01:53,934 --> 00:01:55,266 แต่ถ้าเอาทั้งสองอนุภาคมาเทียบกัน 36 00:01:55,266 --> 00:01:59,386 คุณจะพบว่ามันสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ 37 00:01:59,386 --> 00:02:02,293 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสมบัติ ของอนุภาคทั้งคู่เป็น 0 38 00:02:02,293 --> 00:02:04,428 ความสัมพันธ์นั้นจะยังคงอยู่ 39 00:02:04,428 --> 00:02:06,946 โดยสถานะของทั้งคู่ นั้นเกี่ยวพันกัน(entangled) 40 00:02:06,946 --> 00:02:11,143 ถ้ารู้ค่าของอีกตัว ก็จะสามารถรู้ค่าของอีกตัวได้ทันที 41 00:02:11,143 --> 00:02:15,984 แต่การเกี่ยวพันกันนี้ดูเหมือนจะขัดกับ ทฤษฏีสัมพันธภาพที่มีชื่อเสียงของ Einstein 42 00:02:15,984 --> 00:02:19,027 เพราะไม่มีอะไรกำหนดขีดจำกัด ของระยะทางระหว่างอนุภาค 43 00:02:19,027 --> 00:02:21,219 ถ้าคุณวัดคุณสมบัติของอนุภาคหนึ่ง ที่นิวยอร์กตอนบ่ายโมง 44 00:02:21,219 --> 00:02:24,448 และอีกอนุภาคหนึ่งที่ซานฟรานซิสโก ในอีกนาโนวินาทีต่อมา 45 00:02:24,448 --> 00:02:27,593 มันก็ยังคงให้ผลที่เหมือนกัน 46 00:02:27,593 --> 00:02:29,932 ยิ่งถ้าคุณสมบัติของอนุภาค ถูกวัดเป็นค่า 47 00:02:29,932 --> 00:02:34,544 โดยที่อนุภาคตัวหนึ่งจะส่งสัญญาณ ไปยังอีกอนุภาค 48 00:02:34,544 --> 00:02:37,390 มันจะเร็วถึง 13ล้านเท่าของความเร็วแสง 49 00:02:37,390 --> 00:02:40,741 ซึ่งตามทฤษฏีสัมพันธภาพแล้ว มันเป็นไปไปไม่ได้ 50 00:02:40,741 --> 00:02:45,812 ด้วยเหตุนี้ Einstein จึงไม่ยอมรับการเกี่ยวพัน ราวกับเป็น "spuckafte ferwirklung," 51 00:02:45,812 --> 00:02:48,508 หรือ ระยะทางผี 52 00:02:48,508 --> 00:02:51,176 เขาตัดสินใจว่ากลศาสตร์ควอนตัม นั้นไม่สมบูรณ์ 53 00:02:51,176 --> 00:02:55,703 เพียงใกล้เคียงกับความเป็นจริง ในอนุภาคทั้งสอง 54 00:02:55,703 --> 00:02:59,527 มีคุณสมบัตืในตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่เรามองไม่เห็น 55 00:02:59,527 --> 00:03:03,109 ผู้สนับสนุนดั้งเดิมของกลศาสตร์ควอนตัม นำโดย Niels Bohr 56 00:03:03,109 --> 00:03:07,359 ยึดมั่นว่ากลศาสตร์ควอนตัมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานความไม่แน่นอนอยู่แล้ว 57 00:03:07,359 --> 00:03:09,960 และการเกี่ยวพันนี้กำหนดให้ คุณสมบัติของอนุภาคตัวหนึ่ง 58 00:03:09,960 --> 00:03:12,827 ขึ้นกับอนุภาคอีกตัวหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป 59 00:03:12,827 --> 00:03:15,648 กว่า 30 ปีที่วงการฟิสิกส์ยังคงอยู่ แต่หยุดชะงัก 60 00:03:15,648 --> 00:03:20,194 จนกระทั่ง John Bell ค้นพบกุญแจ ที่จะใช้ทดสอบข้อเท็จจริงของ EPR 61 00:03:20,194 --> 00:03:24,368 จะต้องดูการเกี่ยวพันคุณสมบัติ ความแตกต่างของทั้ง 2 อนุภาค 62 00:03:24,368 --> 00:03:29,050 ทฤษฏีค่าที่ถูกซ่อน โดย Einstein Podolsky และ Rosen 63 00:03:29,050 --> 00:03:33,439 จำกัดอยู่แค่ว่าบ่อยแค่ไหนที่ได้ค่า 1 A หรือ B 0 64 00:03:33,439 --> 00:03:37,245 ซึ่งผลของมันก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว 65 00:03:37,245 --> 00:03:39,613 Bell แสดงให้เห็นการเข้าใกล้ ควอนตัมอย่างแท้จริง 66 00:03:39,613 --> 00:03:42,765 ณ ตำแหน่งที่คุณสมบัติไม่ได้ถูก กำหนดออกมาจนกว่าจะได้วัด 67 00:03:42,765 --> 00:03:45,853 ในข้อจำกัดที่ต่าง และ การทำนาย ผสมกันกับผลการวัด 68 00:03:45,853 --> 00:03:49,040 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ กับการกำหนดผลเอาไว้ก่อน 69 00:03:49,040 --> 00:03:52,709 เมื่อ Bell ค้นพบวิธีทดสอบ ข้อเท็จจริงของ EPR 70 00:03:52,709 --> 00:03:55,259 นักฟิสิกส์ก็ต่างเริ่มต้นทดลอง 71 00:03:55,259 --> 00:03:59,483 เริ่มด้วย John Clauster ในทศวรรษ 70 และ Alain Aspect ในก่อน 80 72 00:03:59,483 --> 00:04:03,106 มีผลการทดลองมากมาย เกี่ยวกับการทำนาย EPR 73 00:04:03,106 --> 00:04:05,214 และทั้งหมดต่างมีสิ่งที่เหมือนกันคือ 74 00:04:05,214 --> 00:04:07,603 กลศาสตร์ควอนตัมนั้นถูกต้อง 75 00:04:07,603 --> 00:04:12,220 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติที่ไม่ได้ ถูกกำหนดเอาไว้ กับการเกี่ยวพันนั้นเป็นจริง 76 00:04:12,220 --> 00:04:15,365 และไม่สามารถอธิบาย หรือแตกแขนงลงลึกไปกว่านี้ได้อีก 77 00:04:15,365 --> 00:04:19,991 บทความ EPR นั้นไม่ถูกต้อง แต่กลับยอดเยี่ยม 78 00:04:19,991 --> 00:04:23,976 สามารถนำทางให้นักฟิสิกส์คิดลึกลงไป เกี่ยวกับรากฐานของกลศาสตร์ควอนตัม 79 00:04:23,976 --> 00:04:26,702 มันนำไปสู่ทฤษฏีที่ซับซ้อนมากขึ้น 80 00:04:26,702 --> 00:04:30,798 และช่วยทำให้เกิดงานวิจัย เช่น quantum information 81 00:04:30,798 --> 00:04:36,774 ซึ่งตอนนี้เข้าข่ายประสบความสำเร็จ พัฒนาคอมพิวเตอร์ที่มีพลังเกินจินตนาการ 82 00:04:36,774 --> 00:04:39,602 โชคร้ายที่การสุ่มของคุณสมบัตินี้ 83 00:04:39,602 --> 00:04:41,716 ได้เข้าขัดขวางนิยายวิทยาศาสตร์ 84 00:04:41,716 --> 00:04:46,127 อย่างใช้การเกี่ยวพันของอนุภาค ส่งข้อความด้วยความเร็วมากกว่าแสง 85 00:04:46,127 --> 00:04:49,025 ทฤษฏีสัมพันธภาพจึงยังคงปลอดภัยในตอนนี้ 86 00:04:49,025 --> 00:04:53,534 แต่ในจักรวาลของควอนตัมยังคงแปลกประหลาด เกินกว่าที่ Einstein จะเข้าใจ