1 00:00:07,509 --> 00:00:09,317 เราต่างก็มีเหตุผลดีๆ ที่จะ 2 00:00:09,317 --> 00:00:11,235 สับเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 3 00:00:11,235 --> 00:00:12,859 ต้นทุนมันถูกกว่าในทุกๆทาง 4 00:00:12,859 --> 00:00:14,809 แถมยังเป็นพลังงานยั่งยืน 5 00:00:14,809 --> 00:00:17,213 มากกว่าการพึ่งพาโรงงานไฟฟ้า แบบเดิม 6 00:00:17,213 --> 00:00:18,906 ที่ใช้ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงาน 7 00:00:18,906 --> 00:00:20,950 ซึ่งมันก็จะต้องหมดไปในซักวัน 8 00:00:20,950 --> 00:00:22,035 แล้วทำไมเราจึงไม่แทนที่ 9 00:00:22,035 --> 00:00:24,570 โรงไฟฟ้าแบบเก่าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์? 10 00:00:24,570 --> 00:00:26,027 เพราะมีปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้ 11 00:00:26,027 --> 00:00:28,476 พลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถควบคุมได้ 12 00:00:28,476 --> 00:00:30,052 การบดบังของเมฆไงหละ 13 00:00:30,052 --> 00:00:32,223 ดังที่แสงแดดได้สาดส่องมายังโลก 14 00:00:32,223 --> 00:00:34,652 บางส่วนนั้นได้ถูกดูดซับโดยชั้นบรรยากาศ 15 00:00:34,652 --> 00:00:36,755 บางส่วนก็ถูกสะท้อนกลับไปยังอวกาศ 16 00:00:36,755 --> 00:00:39,887 ส่วนที่เหลือจึงได้ตกมายังโลก 17 00:00:39,887 --> 00:00:41,436 ส่วนที่ไม่ได้ถูกเบี่ยงเบนไปนี้ 18 00:00:41,436 --> 00:00:43,516 เราเรียกมันว่า ความเข้มแสงแบบตรง (direct irradiance) 19 00:00:43,516 --> 00:00:45,359 ส่วนที่ถูกหักเหโดยเมฆ 20 00:00:45,359 --> 00:00:47,659 เราเรียกว่า ความเข้มแสงแบบกระเจิง (diffuse irradiance) 21 00:00:47,659 --> 00:00:50,509 และแสงที่ถูกสะท้อนโดยพื้นผิวก่อนเป็นอันดับแรก 22 00:00:50,509 --> 00:00:51,780 โดยสิ่งก่อสร้างใกล้เคียง 23 00:00:51,780 --> 00:00:54,379 ก่อนที่มันจะตกมาถึง แหล่งผลิดพลังงานแสงอาทิตย์ 24 00:00:54,379 --> 00:00:56,610 เราเรียกมันว่า ความเข้มแสงแบบสะท้อน (reflected irradiance) 25 00:00:56,610 --> 00:00:58,256 ก่อนที่เราจะหาสาเหตุว่าทำไมเมฆ 26 00:00:58,256 --> 00:01:01,281 มีผลกับแสงแดดที่ใช้ผลิตไฟฟ้า 27 00:01:01,281 --> 00:01:04,500 เรามาดูกันว่าระบบผลิตพลังงาน จากแสงอาทิตย์ทำงานอย่างไร 28 00:01:04,500 --> 00:01:06,868 แบบแรก เราใช้หอคอยแสงอาทิตย์ 29 00:01:06,868 --> 00:01:08,414 เป็นหอคอยที่อยู่ ใจกลาง 30 00:01:08,414 --> 00:01:11,120 ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งกระจก ขนาดใหญ่ 31 00:01:11,120 --> 00:01:13,034 ซึ่งมันจะติดตามทิศทางและสะท้อนแสง 32 00:01:13,034 --> 00:01:16,651 ตรงไปยังจุดจุดเดียวที่หอคอย 33 00:01:16,651 --> 00:01:19,434 คล้ายกันคนอยากจะอาบแดดที่ชายหาด 34 00:01:19,434 --> 00:01:21,130 ความร้อนถูกสร้างขึ้นโดยแสงเหล่านี้ 35 00:01:21,130 --> 00:01:24,706 มีมหาศาลจนสามารถใช้ต้มน้ำให้เดือด 36 00:01:24,706 --> 00:01:27,720 สร้างไอน้ำเพื่อนำไปหมุนกังหันไอน้ำแบบเก่า 37 00:01:27,720 --> 00:01:29,545 ซึ่งใช้สร้างไฟฟ้าอีกทีหนึ่ง 38 00:01:29,545 --> 00:01:31,515 แต่เมื่อเราพูดถึงระบบพลังงานแสงอาทิตย์ 39 00:01:31,515 --> 00:01:34,252 เราก็ต้องพูดเกี่ยวกับ อุปกรณ์ แปลงแสงให้เป็นไฟฟ้า 40 00:01:34,252 --> 00:01:35,704 หรือแผงโซลาร์เซลล์ 41 00:01:35,704 --> 00:01:37,325 ซึ่งเป็นระบบทำใช้กันทั่วไปมากที่สุด 42 00:01:37,325 --> 00:01:38,945 เพื่อสร้างพลังงาน แสงอาทิตย์ 43 00:01:38,945 --> 00:01:39,916 ในแผงโซลาร์เซลล์ 44 00:01:39,916 --> 00:01:42,795 โฟตอนจากแสงอาทิตย์สัมผัสกับผิวของแผง 45 00:01:42,795 --> 00:01:44,465 และอิเล็กตรอนก็ถูกปลอดปล่อยออกมา 46 00:01:44,465 --> 00:01:46,818 ผลักดันให้เกิดกระแสไฟฟ้า 47 00:01:46,818 --> 00:01:49,818 แผงโซลาร์เซลล์สามารถ ใช้ได้กับความเข้มแสงทุกแบบ 48 00:01:49,818 --> 00:01:53,556 ใขขณะที่หอคอยแสงอาทิตย์ สามารถใช้ได้แค่กับความเข้มแสงแบบตรงเท่านั้น 49 00:01:53,556 --> 00:01:56,218 และเมฆนั้นมีความสำคัญอย่างมาก 50 00:01:56,218 --> 00:01:58,290 เพราะมันขึ้นกับรูปร่างและสถานที่ 51 00:01:58,290 --> 00:01:59,537 ที่สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ 52 00:01:59,537 --> 00:02:01,645 มันง่ายที่จะทำให้มีการเพิ่มหรือลด 53 00:02:01,645 --> 00:02:04,122 พลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้ 54 00:02:04,122 --> 00:02:06,236 ในทันทีที่เมฆคิวมูลัสเพียงเล็กน้อย 55 00:02:06,236 --> 00:02:07,690 ลอยเข้ามาบดบังแสงก็สามารถลด 56 00:02:07,690 --> 00:02:10,042 กำลังในการผลิตไฟฟ้าในหอคอยแสงอาทิตย์ 57 00:02:10,042 --> 00:02:14,461 จนเกือบเท่ากับ 0 เพราะมันต้องใช้แสงโดยตรง 58 00:02:14,461 --> 00:02:16,693 ส่วนในแผงโซลาร์เซลล์ เมฆเหล่านี้จะลด 59 00:02:16,693 --> 00:02:18,200 พลังที่ได้ในระดับหนึ่ง 60 00:02:18,200 --> 00:02:19,435 แต่ก็ไม่มากเท่าไร 61 00:02:19,435 --> 00:02:22,710 เพราะแผงโซลาร์เซลล์สามารถรับ ความเข้มแสงได้ทุกแบบ 62 00:02:22,710 --> 00:02:26,160 อย่างไรก็ตามทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งเมฆ 63 00:02:26,160 --> 00:02:28,468 การสะท้อน หรือปรากฏการณ์พิเศษ 64 00:02:28,468 --> 00:02:30,344 ที่เรียกว่า การกระจัดกระจายแบบมี (Mie scattering) 65 00:02:30,344 --> 00:02:33,125 แสงแดดสามารถถูกรวม 66 00:02:33,125 --> 00:02:36,566 โดยกลุ่มเมฆและเพิ่มความเข้มแสง 67 00:02:36,566 --> 00:02:39,681 ได้มากกว่า 50% ก่อนจะกระทบกับแผงโซลาร์เซลล์ 68 00:02:39,681 --> 00:02:42,231 และถ้าความเข้มแสงที่เพ่ิมขึ้นนี้ ไม่ได้ถูกคำนวณเพื่อรองรับไว้ 69 00:02:42,231 --> 00:02:44,780 มันก็จะสร้างความเสียหายให้กับแผงโซลาร์ 70 00:02:44,780 --> 00:02:45,901 ทำไมเราต้องใส่ใจกับมัน? 71 00:02:45,901 --> 00:02:47,731 ในเมื่อคุณไม่ต้องการให้บทเรียนนี้ชะงัก 72 00:02:47,731 --> 00:02:51,127 เพียงเพราะเมฆมาบังเหนือ แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านคุณ 73 00:02:51,127 --> 00:02:54,429 ในหอคอยแสงอาทิตย์ ถังขนาดใหญ่ ที่มีเกลือหรือน้ำมันหลอมเหลว 74 00:02:54,429 --> 00:02:56,808 สามารถกักเก็บความร้อนส่วนเกิน 75 00:02:56,808 --> 00:02:58,292 และใช้มันเมื่อต้องการ 76 00:02:58,292 --> 00:02:59,736 ดังนั้นนี่คือการแก้ปัญหา 77 00:02:59,736 --> 00:03:02,525 การผันแปรของความเข้มแสง เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอ 78 00:03:02,525 --> 00:03:03,999 ของการผลิตไฟฟ้า 79 00:03:03,999 --> 00:03:05,345 แต่ในกรณีของแผงโซล่าเซลล์ 80 00:03:05,345 --> 00:03:07,905 ยังไม่มีวิธีการที่สามารถ 81 00:03:07,905 --> 00:03:09,730 กักเก็บพลังงานส่วนเกินได้ 82 00:03:09,730 --> 00:03:11,717 จึงเป็นเหตุว่าทำไม เรายังต้องใช้โรงไฟฟ้าแบบเก่า 83 00:03:11,717 --> 00:03:13,841 เพื่อที่จะชดเชยความผันแปรของ 84 00:03:13,841 --> 00:03:15,815 การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ 85 00:03:15,815 --> 00:03:18,149 พลังงานเพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าแบบเก่า 86 00:03:18,149 --> 00:03:20,429 จึงยังต้องมีพร้อมใช้ตลอดเวลา 87 00:03:20,429 --> 00:03:22,869 แต่เหตุใดเราจึงไม่ใช้โรงงานไฟฟ้าแบบเก่านี้ 88 00:03:22,869 --> 00:03:24,337 เป็นแค่แหล่งพลังงานเสริม 89 00:03:24,337 --> 00:03:26,075 แทนการที่เราต้องพึ่งพลังงานเหล่านี้ 90 00:03:26,075 --> 00:03:28,296 เป็นพลังงานหลักของพวกเรา 91 00:03:28,296 --> 00:03:30,113 นั่นเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่คนงาน 92 00:03:30,113 --> 00:03:32,248 ที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ 93 00:03:32,248 --> 00:03:33,507 จะบิดปุ่มสร้างพลังงาน 94 00:03:33,507 --> 00:03:35,427 ขึ้นๆ ลงๆ ไปกับ 95 00:03:35,427 --> 00:03:37,834 จำนวนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า 96 00:03:37,834 --> 00:03:40,521 การตอบสนองมันช้าเกินไป 97 00:03:40,521 --> 00:03:42,819 แทนที่เราจะจัดการกับความไม่แน่นอนนี้ 98 00:03:42,819 --> 00:03:45,718 พลังงานบางส่วนจากโรงไฟฟ้าแบบเก่า 99 00:03:45,718 --> 00:03:48,036 จึงต้องถูกผลิตตลอดเวลา 100 00:03:48,036 --> 00:03:49,496 ในวันที่ท้องฟ้าสดใส 101 00:03:49,496 --> 00:03:51,578 พลังงานมากมายเหล่านี้คงสูญเปล่า 102 00:03:51,578 --> 00:03:53,557 แต่ในวันที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจ 103 00:03:53,557 --> 00:03:55,467 มันก็จะเข้ามาเติมเต็ม 104 00:03:55,467 --> 00:03:56,930 นี่คือสิ่งที่เราต้องพึ่งพาอยู่ในตอนนี้ 105 00:03:56,930 --> 00:03:58,861 เพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างต่อเนื่อง 106 00:03:58,861 --> 00:04:00,186 ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยหลายคน 107 00:04:00,186 --> 00:04:02,632 สนใจที่จะพยากรณ์การเคลื่อนที่ 108 00:04:02,632 --> 00:04:05,835 และ โครงสร้างของเมฆผ่านภาพถ่ายดาวเทียม 109 00:04:05,835 --> 00:04:07,883 หรือกล้องถ่ายรูปที่แหงนมองท้องฟ้า 110 00:04:07,883 --> 00:04:10,765 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสูงสุด ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 111 00:04:10,765 --> 00:04:13,038 และทำให้เสียพลังงานน้อยที่สุด 112 00:04:13,038 --> 00:04:14,365 ถ้าเราสามารถทำมันสำเร็จ 113 00:04:14,365 --> 00:04:16,484 คุณจะสามารถสนุกกับวิดีโอนี้ 114 00:04:16,484 --> 00:04:18,486 โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 115 00:04:18,486 --> 00:04:20,067 โดยไม่สนแม้สภาพอากาศจะเป็นอย่างไร 116 00:04:20,067 --> 00:04:21,845 สุดท้ายนี้ถ้าดวงอาทิตย์ทอแสงลงมา 117 00:04:21,845 --> 00:04:24,070 คุณก็น่าจะลองออกไปข้างนอก 118 00:04:24,070 --> 00:04:27,034 เพื่อมองดูเมฆรูปต่างๆ ที่ลอยล่อง