มนุษย์เราแบ่งผู้คนรอบตัวใส่กล่องต่างๆ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราพบกัน คนคนนี้อันตรายหรือเปล่า? น่าสนใจไหม? เหมาะสมที่จะเป็นคู่ของเราหรือเปล่า? หรือจะเป็นโอกาสในการติดต่องานไหม? เราทำการสอบสวนเล็กๆ เมื่อเราพบกัน เพื่อทำประวัติของพวกเขาในหัวเรา คุณชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? อายุเท่าใหร่? ทำอาชีพอะไร? แล้วเราก็ถามลึกลงไปถึงเรื่องส่วนตัว คุณเคยป่วย เป็นโรคอะไรมารึเปล่า? เคยหย่ามั้ย? คุณมีกลิ่นปากรึเปล่า ในระหว่างที่ตอบคำถามอยู่นี่ คุณสนใจเรื่องอะไร? คุณสนใจใคร? คุณชอบมีสัมพันธ์กับคนเพศไหน? ฉันเข้าใจ เราถูกโปรแกรมทางพันธุกรรมกำหนดไว้ ให้ตามหาผู้คนที่มีลักษณะเหมือนกับเรา เราเริ่มสร้างกลุ่มของตัวเองทันทีที่เราโตพอ ที่จะรู้ว่าความรู้สึกของการได้รับการยอมรับเป็นอย่างไร เราผูกพันกันด้วยทุกสิ่งที่เราจะสัมพันธ์กันได้ ความชอบด้านดนตรี เชื้อชาติ เพศ หรือแม้แต่ละแวกบ้านที่เราโตมา เรามองหาสภาพแวดล้อมที่ขับเน้นความชอบของเรา แต่ว่าก็ว่าเหอะ บางครั้งคำถามธรรมดาว่า คุณทำงานอะไร? อาจทำให้เรารู้สึกว่า เค้ากำลังเปิดกล่องใบเล็กจิ๋ว แล้วขอให้คุณยัดตัวของคุณลงในนั้น เพราะการแบ่งประเภทแบบนั้น ฉันพบว่า เป็นขอบเขตที่แคบเกินไป กล่องเหล่านั้นแคบเกินไป และสิ่งนั้นก็อาจเป็นเรื่องอันตรายได้ ดังนั้น เพื่อทำความรู้จัก และปฏิเสธข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับฉัน ก่อนที่เราจะลงลึกกันต่อไป ฉันเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการปกป้องจากขนบ ฉันถูกเลี้ยงดูมา ในแมนฮัตตัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ห่างจากศูนย์กลางของดนตรีแนวพังค์ ไปสองช่วงตึก ฉันได้รับการปกป้องจากความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลทั้งหลาย และจากข้อจำกัดทางสังคมต่างๆ ที่มีอยู่ในการเลี้ยงดูเด็กในสังคมเคร่งศาสนา ในแถบที่ฉันโตมา ถ้าคุณไม่ใช่นางโชว์ หรือ นักคิดหัวสมัยใหม่ หรือนักแสดง อะไรซักอย่างแล้วล่ะก็ คุณเป็นตัวประหลาด (หัวเราะ) มันเป็นการเลี้ยงดูที่ผิดไปจากขนบ แต่ในฐานะที่เป็นเด็กนิวยอรค์ คุณจะเรียนรู้ที่จะเชื่อสัญชาติญาณของตัวเอง คุณเรียนรู้ที่จะทำตามความคิดของคุณ เพราะงั้น ตอนหกขวบ ฉันจึงตัดสินใจที่จะเป็นเด็กผู้ชาย ฉันไปโรงเรียนวันหนึ่ง แล้วคนอื่นๆ ไม่ยอมให้ฉันเล่นบาสเก็ตบอลกับพวกเขา พวกเขาบอกว่า ไม่ให้ผู้หญิงเล่นหรอก เพราะงั้น ฉันจึงกลับบ้าน โกนหัว แล้วก็กลับมาในวันรุ่งขึ้น แล้วบอกว่า "ฉันเป็นผู้ชาย" ใครจะไปรู้ ใช่ไหม ตอนคุณอายุหกขวบ คุณอาจจะสามารถทำแบบนั้นได้ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิง แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ ฉันเก็บความลับไว้ได้ เป็นเวลาแปดปี นี่คือภาพของฉันตอนฉันอายุสิบเอ็ด ฉันเล้นเป็นเด็กผู้ชายชื่อ วอลเตอร์ ในหนังเรื่อง "จูเลียน โป" เป็นเด็กข้างถนนที่เดินตาม คอยกวนใจ คริสเตียน สเลเตอร์ เห็นมั้ย ฉันเป็นนักแสดงเด็กด้วย ซึ่งทำให้มีชั้นของการแสดงมาปกคลุม ตัวตนของฉันเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะไม่มีใครรู้ว่า ที่จริงแล้วฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่เล่นเป็นเด็กผู้ชาย อันที่จริง ไม่มีใครในชีวิตฉันตอนนั้น รู้เลยว่าฉันเป็นผู้หญิง คุณครู หรือเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่รู้ ผู้กำกับที่ฉันทำงานด้วยก็ไม่รู้ เด็กคนอื่นๆ มักจะเดินเข้ามาหาฉันในห้องเรียน แล้วก็จับคอฉันเพื่อหาลูกกระเดือก หรือจับเป้ากางเกงเพื่อเช็คดู เวลาเข้าห้องน้ำ ฉันจะหันรองเท้ากลับในห้องน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าฉันกำลังยืนฉี่อยู่ เวลาไปนอนบ้านเพื่อน ฉันจะหวาดผวา พยายามบอกพวกเด็กผู้หญิงว่า พวกเธอไม่ควรจะจูบฉันหรอก โดยไม่เปิดเผยว่าฉันเป็นผู้หญิง ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่ฉันจะต้องบอกว่า ฉันไม่ได้รังเกียจร่างกาย หรืออวัยวะเพศของฉัน ฉันไม่ได้รู้สึกว่าฉันอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังแสดงบทบาทหนึ่งอยู่ ฉันคงไม่ผ่านคุณสมบัติการเป็นคนข้ามเพศหรอก ถ้าครอบครัวของฉันเป็นพวกที่เชื่อในการบำบัดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็คงวินิจฉัยฉันไปแล้ว ว่าเป็นอะไรประมาณ ภาวะสับสนทางเพศ แล้วก็ให้ฮอร์โมนฉัน เพื่อเลื่อนวัยเจริญพันธุ์ออกไป แต่ในกรณีของฉัน ฉันก็แค่ตื่นขึ้นมาวันนึง ตอนฉันอายุสิบสี่ แล้วตัดสินใจว่า ฉันอยากจะเป็นผู้หญิงละ ฉันเข้าสู่วัยสาว แต่ฉันไม่รู้เลยว่า การเป็นผู้หญิงคืออะไร ฉันพร้อมที่จะค้นหาคำตอบว่า ฉันเป็นใครกันแน่ เมื่อเด็กคนหนึ่งทำแบบที่ฉันทำ พวกเขาไม่ได้จำเป็นจะต้องพูดมันออกมา ใช่ไหม ก็ไม่มีใครถึงกับประหลาดใจหรอกนะ (หัวเราะ) แต่พ่อแม่ไม่ได้ถามฉัน ให้ระบุว่าฉันเป็นอะไร ตอนฉันอายุสิบห้า ฉันโทรหาพ่อ เพื่อบอกว่า ฉันตกหลุมรัก มันเป็นสิ่งสุดท้ายในความคิดของพวกเราทั้งสองฝ่าย ที่จะคุยกันถึงผลลัพธ์ ของความจริงที่ว่า รักครั้งแรกของฉันเป็นผู้หญิง สามปีต่อมา ตอนที่ฉันตกหลุมรักผู้ชาย พ่อกับแม่ของฉันก็ไม่ได้เห็นว่ามันแปลกหรืออะไร เห็นไหมคะว่า นี่เป็นข้อดีอย่างนึงของการโตมานอกขนบ ที่ฉันไม่ได้ถูกขอให้ ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ตอนไหน ฉันได้รับอนุญาตให้เป็นฉัน เติบโต และเปลี่ยนแปลงไปในทุกขณะ เมื่อสี่ หรือเกือบห้าปีก่อน ข้อเสนอที่ 8 ซึ่งเป็นการถกเถึยงครั้งใหญ่ เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันด้านการแต่งงาน ได้ทำให้เกิดความสับสนมากมายในประเทศนี้ ตอนนั้น การแต่งงานไม่ใช่เรื่องอะไรที่ ฉันจะใช้เวลาคิดถึงมันเท่าไหร่นัก แต่ฉันกลับประหลาดใจกับการที่ อเมริกา ประเทศซึ่งมีสถิติอันมัวหมองเรื่องสิทธิพลเมือง จะย้อนรอยความผิดตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ และฉันจำได้ว่า ฉันดูการถกกันเรื่องนี้ในโทรทัศน์ แล้วก็คิดว่ามันช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ ที่การแบ่งเขตการปกครอง และ เขตสังฆมณฑล เป็นสิ่งที่แบ่งแยก และสร้างขอบเขตต่างๆขึ้นในประเทศนี้ ระหว่างพื้นที่ที่ผู้คนเชื่อ และพื้นที่ๆผู้คนไม่เชื่อ แล้วการถกกันนั้นก็ได้สร้างขอบเขตรอบๆตัวฉันด้วย เพราะถ้านี่เป็นการทำสงครามระหว่างสองฝ่าย ฉันก็กลายเป็นฝ่ายรักร่วมเพศ โดยอัตโนมัติ เพราะฉันไม่ได้เป็นผู้หญิงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในตอนนั้น ฉันพึ่งจะโผล่ขึ้นมา จากช่วงเวลาแปดปี ที่ฉันสับสนเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง เส้นทางที่เริ่มจากการเป็นเด็กผู้ชาย กลายเป็นเด็กผู้หญิงประหลาด ที่ดูเหมือนเด็กผู้ชายในเสื้อผ้าเด็กผู้หญิง กลายเป็นขั้วตรงข้าม คือสาวผอมเพรียว ที่แสดงความเป็นผู้หญิ๊ง ผู้หญิง ตามจีบผู้ชาย เพื่อกลบเกลื่อน จนท้ายที่สุด นี่เป้นแค่การค้นหาตนเองอย่างคร่าวๆว่าฉันเป็นอะไรแน่เท่านั้นนะ กลายเป็นสาวห้าว ที่ชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้วแต่ว่าคนๆนั้นนิสัยเป็นไง ฉันใช้เวลาหนึ่งปีในการเก็บภาพเด็กผู้หญิงในยุคใหม่นี้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับฉัน ซึ่งรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างสองเพศ เด็กผู้หญิงที่เล่นสเก็ตบอร์ด แต่สวมชั้นในลูกไม้ เด็กผู้หญิงที่ตัดผมทรงเด็กผู้ชาย แต่ทาเล็บแบบเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่ทาอายแชโดว์ ให้เข้ากับรอยหัวเข่าถลอก เด็กผู้หญิงที่ชอบผู้หญิง และเด็กผู้ชาย ที่ชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง คนซึ่งรังเกียจการถูกจับใส่กล่องแยกประเภท ให้ เป็น อะไร ฉันรักผู้คนเหล่านี้ และชื่นชมในเสรีภาพของพวกเขา แต่ฉันก็เฝ้ามองดู ในขณะที่โลก นอกฟองสบู่แห่งยูโทเปียของพวกเรา ได้ระเบิดขึ้น กลายเป็นการโต้แย้งที่รุนแรงเหล่านี้ โลกที่ซึ่งผู้รู้เริ่มพยายามสร้างภาพให้ความรักของพวกเรากลายเป็นการสมสู่ ผ่านทางรายการโทรทัศน์ทั่วประเทศ ฉันเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างรุนแรงว่า ฉันกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ในประเทศของตัวเอง เพียงเพราะลักษณะบางอย่างของตัวฉัน ฉันกลายเป็นพลเมืองชั้นสองตามกฏหมายอย่างโต้แย้งไม่ได้ ฉันไม่ใช่นักเรียกร้องสิทธิ ฉันไม่ค่อยโบกธงแสดงความเป็นอะไรเท่าใหร่ ในชีวิตของฉัน แต่ฉันได้รับผลกระทบ จากคำถามนี้ เป็นไปได้อย่างไร ที่จะมีใครสักคนสามารถเลือก ที่จะถอดถอนสิทธิ ของผู้คนหลากหลายจำนวนมากที่ชั้นรู้จัก เพียงเพราะเสี้ยวหนึ่งของบุคลิกลักษณะของพวกเขา พวกเขาพูดได้อย่างไรว่า พวกเรา ในกลุ่มนี้ ไม่มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันกับคนอื่นๆ พวกเราเป็นกลุ่มด้วยหรือ? กลุ่มอะไรล่ะ? แล้วผู้คนเหล่านี้ เขาเคยพบเหยื่อ จากการแบ่งแยกของพวกเขาอย่างจริงจังหรือไม่ พวกเขารู้หรือไม่ว่ากำลังต่อต้านใคร หรือ ผลของการโหวตนี้คืออะไร? แล้วฉันก็คิดขึ้นมาว่า บางทีถ้าพวกเขาได้มองตา มองหน้าคนที่พวกเขากำลังตัดสินให้เป็นพลเมืองชั้นสอง มันอาจจะทำให้พวกเขาตัดสินใจลำบากขึ้น อาจจะทำให้พวกเขาหยุดคิด แน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะพาคนยี่สิบล้านคน มาทานข้าวเย็นด้วยกัน ฉันก็เลยหาทางที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักกันผ่านภาพถ่าย โดยไม่มีการตกแต่ง จัดแสง หรือการจัดการใดๆ เลย เพราะจากภาพถ่าย คุณสามารถจ้องดูหนวดของสิงโตได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะขย้ำคุณ สำหรับฉัน การถ่ายภาพ ไม่ใช่แค่การนำรูปมาแสดง มันเป็นการเปิดโลก ให้กับผู้ชม พาเขาไปเจอสิ่งใหม่ๆ ไปที่ๆพวกเขาไม่เคยไป และที่สำคัญ ไปพบผู้คนที่พวกเขาหวาดกลัว นิตยสาร Life ได้แนะนำคนหลายรุ่น ให้รู้จักกับวัฒนธรรมที่ห่างไกล ที่พวกเขาไม่เคยนึกว่าจะมีอยู่ ผ่านภาพถ่าย ฉันเลยตัดสินใจจะเก็บภาพบุคคลจำนวนหนึ่ง ภาพถ่ายหน้าตรงแบบที่ตำรวจใช้ แล้วก็ตัดสินใจถ่ายรูปใครก็แล้วแต่ในประเทศนี้ ที่ไม่แมน หรือ หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ ถ้าคุณไม่รู้ เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว (หัวเราะ) นี่เป็นงานใหญ่มากทีเดียว และเราก็ต้องการความช่วยเหลือ ฉันวิ่งออกไปในช่วงที่หนาวมาก ไปถ่ายรูปทุกๆคน เท่าที่ฉันจะหาได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ประมาณสองปีที่แล้ว ฉันถ่ายรูป แล้วก็ไปที่องค์กรสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้พวกเขาช่วย พวกเขาให้ทุนสนับสนุนการถ่ายภาพในนิวยอร์ก สองอาทิตย์ ทำให้เราได้สิ่งนี้มาค่ะ (ดนตรี) วีดีโอ: ฉัน ไอโอ ทิลลเลท ไรท์ เป็นศิลปินที่เกิดและโตในนิวยอร์ก (ดนตรี) โครงการความจริงเกี่ยวกับตัวเรา เป็นการบันทึกภาพชาวเกย์ในอเมริกา เป้าหมายของฉันคือการถ่ายภาพหน้าตรง ของใครก็ตามที่เป็นอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่แมน หรือ หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในกลุ่ม เกย์ เลสเปี้ยน ในทางใดก็ตาม เป้าหมายของฉันคือการแสดงถึง ความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน ผ่านรูปลักษณ์ธรรมดาๆ ของใบหน้า (ดนตรี) เรายึดถือความจริงนี้ที่ปรากฏอยู่แก่เราว่า ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ควาามจริงนี้เขียนอยู๋ใน คำประกาศอิสรภาพ [แห่งอเมริกา] เรากำลังล้มเหลว ในฐานะรัฐชาติ ในการรักษาแนวทางแห่งสิทธิ ที่เป็นที่มาของการก่อตั้งประเทศนี้ ไม่มีความเท่าเทียมกันในสหรัฐฯ [ความเท่าเทียมกันหมายถึงอะไรสำหรับคุณ?] [การแต่งงาน] [อิสรภาพ] [สิทธิของพลเมือง] [จงปฏิบัติกับคนอื่น เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อตนเอง] เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องใช้ความคิด การต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียม ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งงานของคนรักร่วมเพศ ทุกวันนี้ ใน 29 รัฐ หรือกว่าครึ่งของประเทศเรา คุณสามารถถูกไล่ออกได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพียงเพราะเพศของคุณ [ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ เรื่อง ความเท่าเทียมกัน?] ฉันได้ยินผู้คนนับร้อย ให้คำตอบเดียวกัน "พวกเราทุกคนควรรับผืดชอบ" จนถึงตอนนี้เราได้ถ่ายภาพ ของคน 300 คนในนิวยอร์ก และเราจะทำไม่ได้เลย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก องค์กรรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ฉันอยากจะทำแบบนี้ทั่วประเทศ อยากจะไปถ่ายรูปคน 4 พันหรือ 5 พันคน ใน 25 เมือง นี่คือสิ่งที่ฉันทำได้ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับคนในยุคเดียวกับฉัน ฉันขอท้าให้พวกคุณมองใบหน้าของผู้คนเหล่านี้ แล้วบอกกับพวกเขาว่า พวกเขาสมควรได้รับสิทธิ น้อยกว่ามนุษย์คนอื่นๆ (ดนตรี) ["ความจริงจากตัวเรา"] [4000 ใบหน้าจากทั่วอเมริกา] (ดนตรี) (เสียงปรบมือ) เราไม่ได้เตรียมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย มีคนประมาณแปดหมื่นห้าพันคนดูวีดีโอนั้น แล้วก็เริ่มส่งเมลมาหาพวกเรา จากทั่วทั้งประเทศ ขอให้พวกเราไปยังเมืองของเขา ไปถ่ายรูปพวกเขา มีคนที่ยินยอมให้พวกเราถ่ายภาพ มากกว่าที่เราคาดเอาไว้ ฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายของเราเป็น หนึ่งหมื่น วีดีโอนั้น ทำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2011 จนถึงวันนี้ ฉันได้เดินทางไป 20 เมือง และถ่ายรูปคนกว่า 2000 คน ฉันรู้ว่านี่เป็นการพูด แต่ฉันอยากจะขอเวลาเงียบๆสักนาทีหนึ่ง ให้ทุกคนมองดูใบหน้าเหล่านี้ เพราะว่าสิ่งที่ฉันพูดคงไม่สามารถอธิบายภาพเหล่านี้ได้ เพราะถ้าภาพหนึ่งแทนคำพูดร้อยพัน ภาพใบหน้าคนหนึ่งคนนั้นคงต้องใช้คำศัพท์ใหม่ทั้งหมดมาอธิบาย หลังจากที่ฉันได้เดินทาง และ พูดคุยกับผู้คนมากมาย ในเมืองอย่าง โอคลาโฮมา หรือ เมืองเล็กๆ ในเทกซัส เราได้พบว่า การตั้งสมมติฐานเบื้องต้นนั้น ผิดเสมอ การมอง การดู เป็นกุญแจสำคัญ ความคุ้นเคย เป็นประตู ที่นำไปสู่การเห็นอกเห็นใจกัน และเมื่อเรื่องราวหนึ่งเกิดขึ้นในบ้าน หรือในครอบครัวของคุณเอง คุณมักจะมีความเห็นอกเห็นใจกันมากกว่า หรือมีมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นมากขึ้น แน่นอน ในระหว่างที่เดินทาง ฉันได้พบผู้คน คนที่ไม่ยอมรับลูกๆ ของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่รักเพศตรงข้าม แต่ฉันก็ได้พบผู้คนเคร่งศาสนาทางตอนใต้ ที่เปลี่ยนโบสถ์ที่พวกเขาไป เนื่องจากว่าลูกของเขาเป็นเลสเบี้ยน ความเห็นอกเห็นใจ กลายเป็นประเด็นสำคัญ ของโครงการนี้ แต่นี่เป็นสิ่งที่ฉันได้เริ่มเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ: ความจริงเกี่ยวกับตัวเราไม่ได้ลบความแตกต่างระหว่างเรา ที่จริง มันยิ่งทำให้ความแตกต่างนั้น ชัดเจนขึ้น มันไม่เพียงนำเสนอความซับซ้อน ที่อยู่ในตัวตนของมนุษย์คนอื่นๆเท่านั้น แต่ยังแสดงความซับซ้อนที่อยู่ในตัวของแต่ละบุคคลด้วย มันไม่ใช่ว่าเรามีกล่องมากเกินไป เรายังมีน้อยเกินไปต่างหาก ผ่านไประยะหนึ่ง ฉันเริ่มรู้สึกว่า ความตั้งใจที่จะถ่ายรูปชาวเกย์ เป็นความตั้งใจที่ผิด เพราะเรามีชาวเกย์มากมายหลายแบบ ฉันกำลังพยายามจะช่วย แต่กลายเป็นว่าฉันได้ทำสิ่งที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดชีวิต การแบ่งกลุ่ม จับคนใส่กล่อง ผ่านไประยะนึง ฉันเพิ่มคำถาม ลงในแบบยินยอมให้ใช้ภาพ ขอให้พวกเขา ระบุเปอร์เซ็นต์ความเป็นเกย์ จากหนึ่ง ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วฉันก็ได้เห็น วิกฤติการณ์ด้านตัวตน เกิดขึ้นต่อหน้า มากมาย (หัวเราะ) หลายคนไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะพวกเขาไม่เคยได้รับทางเลือกแบบนี้มาก่อน คุณสามารถระบุ ปริมาณความเปิดเผยของคุณได้หรือไม่ หลังจากที่หายชีอก แล้ว คนส่วนมากจะเลือกอยู่ที่ 75 ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ หรือ 3 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่า มีคนจำนวนมากเหมือนกันที่เลือก 100 หรือ 1 แต่ฉันพบว่าคนจำนวนมากกว่ามาก ที่ระบุตัวเองว่าอยู่ระหว่างกลาง ฉันพบว่าคนส่วนใหญ่จะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น สีเทา เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ฉันไม่ได้บอกว่า ความนิยมทางเพศไม่มีอยู่จริง และฉันจะไม่พาดพิงถึงลักษณะการเลือกชอบเพศ หรือผลของลักษณะทางชีวะภาพของบุคคล เพราะถ้าจะมีใครเชื่อว่า ความนิยมทางเพศ เป็นทางเลือก ฉันจะขอให้คุณพยายาม ลองเป็นชาวสีเทาดู ฉันจะถ่ายรูปคุณ แค่ขอให้คุณลองดู (หัวเราะ) สิ่งที่ฉันจะบอกก็คือ มนุษย์เราไม่ได้มีเพียงด้านเดียว และสิ่งทำคัญ ที่เราได้จากการให้เปอร์เซ็นต์ความเกย์ ก็คือ ถ้าคุณบอกว่าคนฝั่งนี้เป็นเกย์ แล้วฝั่งนี้เป็นคนธรรมดา และเราทราบว่า คนส่วนใหญ่บอกว่า พวกเขาอยู่ค่อนไปทางใดทางหนึ่ง ระหว่างตรงกลางนี้ ยังมีผู้คนอยู่อีกมากมาย ความจริงที่เราพบซับซ้อนกว่านั้นมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราผ่านกฏหมาย อนุญาตให้เจ้านายไล่ลูกน้องออก หากเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ คุณจะขีดเส้น ที่ตรงไหน ตรงนี้กับคนที่มีประสบการณ์กับเพศตรงข้ามเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง หรือตรงนี้ กับคนที่มีประสบการณ์รักร่วมเพศเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง ตรงไหนที่แบ่งให้เราเป็นพลเมืองชั้นสอง สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งจากการเดินทาง และโปรเจ๊กต์นี้ คือ การจัดกลุ่มด้วยความนิยมทางเพศ นั้น ไม่ครอบคลุมเอาซะเลย หลังจากที่ฉันเดินทาง และพบผู้คนมากมาย ฉันจะบอกว่า มีพวกงี่เง่า มากพอๆกับคนน่ารัก มีพวกพรรคนี้ พรรคโน้น พวกนักกีฬา พวกแต๋ว แล้วก็กลุ่มอื่นๆ อีกมากมาย เท่าที่เราจะนึกออก ภายในกลุ่มชาวเกย์ และรักร่วมเพศนี่แหละ เช่นเดียวกับในมนุษยชาติ นอกเหนือจากความเป็นจริงที่ว่า เราต่างถูกมัดมือข้างนึงด้วยกฏหมาย เมื่อคุณสามารถดิ้นรน ต่อสู้ มองข้ามอคติมาได้ คุณจะเห็นว่า การเป็นคน ที่ไม่ได้รักเพศตรงข้าม ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีอย่างอื่นเหมือนกันเลย ใบหน้าหลากหลายที่เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ ความจริงเกี่ยวกับตัวเรานี้ ได้กลายเป็น สิ่งที่เราหวังว่าจะได้เผยแพร่ออกไปในสื่อ อีกหลายๆแขนง ทั้งป้ายรถเมล์ ป้ายโฆษณา หน้า facebook หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ บางทีการมองดูใบหน้าของมนุษยชาติ อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ และหวังว่าการแบ่งกลุ่ม แบ่งขั้ว และ กล่องที่ง่าย และธรรมดาเกินไปเหล่านี้ จะเริ่มกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และหมดไปจากสังคมเรา เพราะแท้จริงแล้ว มันไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เรามองเห็นได้ และไม่ไดอธิบายใครที่เรารู้จัก หรืออะไรที่เราเป็น ที่เราเห็น คือ ความหลากหลายของมนุษย์ และยิ่งได้เห็น ยิ่งยากที่จะปฏิเสธ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อย่างน้อย ฉันหวังว่า มันจะยากขึ้น ที่จะปฏิเสธสิทธิมนุษยชนของพวกเขา เฉพาะฉันรึเปล่านะ ที่คุณปฏิเสธที่จะให้สิทธิในการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย สิทธิในการรับเลี้ยงดูบุตร สิทธิในการแต่งงาน เสรีภาพในการจับจ่าย หรืออยู่อาศัย ฉันรึเปล่า ที่คุณเลือกจะตัดขาด ห้ามไม่ให้เป็น ในฐานะที่เป็น ลูก เป็น พี่น้อง หรือ เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นเพื่อนบ้าน เป็นญาติ เป็นลุง เป็นประธานาธิปดี เป็นตำรวจหญิง หรือ เป็นพนักงานดับเพลิง มันสายไปแล้ว เพราะฉันเป็นในสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราเป็นไปแล้ว และเราก็เป็นมาตลอด เพราะฉะนั้น อย่ามองว่าเราเป็นคนแปลกหน้า ปฏิบัติต่อเรา อย่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)