Return to Video

จานีน ดี จิโอวานนี่ (Janine di Giovanni): สิ่งที่ฉันเห็นในสงคราม

  • 0:01 - 0:04
    นี่คือลักษณะการเกิดสงคราม
  • 0:04 - 0:07
    วันหนึ่ง คุณใช้ชีวิตตามปรกติ
  • 0:07 - 0:09
    วางแผนจะไปปาร์ตี้
  • 0:09 - 0:12
    ส่งลูกไปโรงเรียน
  • 0:12 - 0:14
    นัดหมอฟัน
  • 0:14 - 0:18
    รู้ตัวอีกที โทรศัพท์ก็ถูกตัด
  • 0:18 - 0:22
    ทีวีงดออกอากาศ มีคนถืออาวุธอยู่ตามถนน
  • 0:22 - 0:24
    มีเครื่องกีดขวางบนถนน
  • 0:24 - 0:29
    ชีวิตที่คุณรู้จัก เหมือนถูกกดปุ่มพอส
  • 0:29 - 0:31
    มันหยุด
  • 0:31 - 0:34
    ฉันจะยืมเรื่องจากเพื่อนคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังค่ะ
  • 0:34 - 0:36
    เพื่อนชาวบอสเนียของฉัน และเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ
  • 0:36 - 0:41
    เพราะมันจะทำให้คุณรู้ชัดว่า ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร
  • 0:41 - 0:45
    วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 1992 เธอกำลังเดินไปทำงาน
  • 0:45 - 0:48
    ใส่กระโปรงสั้น รองเท่้าส้นสูง เธอเป็นพนักงานธนาคาร
  • 0:48 - 0:52
    เธอเป็นคุณแม่ยังสาว แล้วก็เป็นคนชอบเฮฮาปาร์ตี้
  • 0:52 - 0:53
    เธอเป็นคนน่ารัก
  • 0:53 - 0:57
    ทันใดนั้นเธอก็เห็นรถถัง
  • 0:57 - 1:00
    กำลังเคลื่อนมาบนถนนเส้นหลักของกรุงซาราเยโว
  • 1:00 - 1:04
    ชนทุกอย่างที่ขวางทางมัน
  • 1:04 - 1:08
    เธอคิดว่าเธอฝันไป แต่ไม่ใช่เลย
  • 1:08 - 1:10
    เธอวิ่ง แบบเดียวกับที่เราทุกคนคงจะทำ
  • 1:10 - 1:14
    เธอหลบหลังถังขยะ
  • 1:14 - 1:17
    ทั้งรองเท้าส้นสูงกับกระโปรงสั้น
  • 1:17 - 1:21
    ในขณะที่เธอหลบอยู่นั้น เธอรู้สึกว่ามันช่างไร้สาระ
  • 1:21 - 1:24
    แต่เธอก็มองเห็นรถถังวิ่งผ่านไปพร้อมทหาร
  • 1:24 - 1:26
    มีคนเต็มไปหมด แล้วทุกอย่างก็วุ่นวาย
  • 1:26 - 1:31
    เธอคิดว่า "เหมือนเป็นอลิซในแดนมหัศจรรย์เลยเรา"
  • 1:31 - 1:33
    ไถลลงไปในโพรงกระต่าย
  • 1:33 - 1:36
    ลงไป ลงไป พบกับความวุ่นวาย
  • 1:36 - 1:42
    แล้วชีวิตของฉันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
  • 1:42 - 1:45
    อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพื่อนของฉันคนนี้อยู่ในฝูงชนกลุ่มใหญ่
  • 1:45 - 1:50
    ที่กำลังผลักกัน
    โดยมีลูกชายของเธอที่ยังเป็นทารกอยู่ในอ้อมแขน
  • 1:50 - 1:53
    เพื่อยี่นเขาให้กับคนแปลกหน้่าบนรถ
  • 1:53 - 1:56
    รถคันท้ายๆ ที่ออกจากซาราเยโว
  • 1:56 - 1:59
    เพื่อพาเด็กๆ ออกไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ปลอดภัย
  • 1:59 - 2:03
    ในขณะที่เธอกำลังพยายาม โดยมีแม่ของเธออยู่ข้างหน้า
  • 2:03 - 2:07
    ท่ามกลางฝูงชน "เอาลูกฉันไป เอาลูกฉันไป"
  • 2:07 - 2:13
    แล้วเธอก็ส่งลูกชายของเธอให้กับใครคนนึงผ่านทางหน้าต่าง
  • 2:13 - 2:16
    แล้วก็ไม่ได้พบลูกชายของเธออีกหลายปี
  • 2:16 - 2:19
    การโจมตีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามปีครึ่ง
  • 2:19 - 2:22
    เป็นสามปีครึ่งที่ไม่มีน้ำ
  • 2:22 - 2:27
    ไม่มีกระแสไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำความร้อน ไม่มีอาหาร
  • 2:27 - 2:32
    กลางทวีปยุโรป ในศตวรรษที่ 20
  • 2:32 - 2:36
    ฉันได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักข่าว
  • 2:36 - 2:38
    ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ถูกโจมตีนั้น
  • 2:38 - 2:41
    ฉันรู้สึกว่าเป็นเกียรติ และเป็นความโชคดีที่ได้อยู่ที่นั่น
  • 2:41 - 2:44
    เพราะมันสอนฉันทุกเรื่อง
  • 2:44 - 2:48
    ไม่ใช่แค่การเป็นนักข่าว แต่มันสอนการเป็นมนุษย์
  • 2:48 - 2:50
    ฉันได้รู้จัก การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
  • 2:50 - 2:54
    ได้เรียนรู้ว่า คนธรรมดาก็สามารถเป็นวีรบุรุษได้
  • 2:54 - 2:58
    ได้รู้จัก การแบ่งปัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
  • 2:58 - 3:01
    และที่สำคัญที่สุด ฉันได้เห็น ความรัก
  • 3:01 - 3:07
    ภายในท่ามกลางการทำลายล้าง ความตาย และความวุ่นวาย
  • 3:07 - 3:10
    ฉันได้เห็น คนธรรมดาก็สามารถช่วยเพื่อนบ้านของเขาได้
  • 3:10 - 3:12
    แบ่งอาหารกัน ช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ
  • 3:12 - 3:16
    ช่วยลากคนที่ถูกยิงออกมาจากถนน
  • 3:16 - 3:18
    ถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงก็ตาม
  • 3:18 - 3:22
    ช่วยพาคนเจ็บขึ้นแท๊กซี่
  • 3:22 - 3:24
    ช่วยพาคนไปส่งโรงพยาบาล
  • 3:24 - 3:27
    ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวฉันเองมากมาย
  • 3:27 - 3:31
    มาร์ธา เกลฮอร์น ฮีโร่คนนึงของฉันเคยพูดว่า
  • 3:31 - 3:36
    "คุณรักสงครามได้แค่หนเดียวเท่านั้น
    ครั้งต่อๆไปเป็นเพียงความรับผิดชอบ"
  • 3:36 - 3:39
    แล้วฉันก็ได้ทำข่าวสงครามอีกมากมายหลายๆแห่งหลังจากนั้น
  • 3:39 - 3:42
    มากจนกระทั่งฉันนับไม่ไหว
  • 3:42 - 3:45
    แต่ก็ไม่มีที่ไหนเหมือนที่ ซาราเยโว
  • 3:45 - 3:49
    เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ฉันกลับไปร่วม
  • 3:49 - 3:53
    งานเลี้ยงรุ่นแบบประหลาดๆ ฉันเรียกมันว่างั้นนะ
  • 3:53 - 3:57
    มันเป็นวันครบรอบ 20 ปีของการโจมตี
  • 3:57 - 4:00
    วันที่เริ่มการโจมตี ซาราเยโว
  • 4:00 - 4:04
    ฉันไม่ค่อยชอบคำว่า "ครบรอบ" เท่าไหร่
    เพราะมันให้ความรู้สึกของการเฉลิมฉลอง
  • 4:04 - 4:05
    งานนี้ไม่ใช่งานฉลอง
  • 4:05 - 4:09
    มันเป็นการรวมตัวกันของนักข่าวที่โศกเศร้า
  • 4:09 - 4:13
    รวมทั้งคนที่ทำงานที่นั่นในช่วงสงคราม ทั้งนักมนุษยชน
  • 4:13 - 4:17
    และแน่นอน รวมทั้งผู้คนที่กล้าหาญทั้งหลายที่ซาราเยโว
  • 4:17 - 4:20
    สิ่งที่ติดตาฉันมากที่สุด
  • 4:20 - 4:21
    และทำให้ฉันสะเทือนใจมาก
  • 4:21 - 4:24
    คือตอนที่ฉันกำลังเดินไปบนถนนสายหลักของเมือง ซาราเยโว
  • 4:24 - 4:28
    ที่เดียวกันกับที่ ไอด้า เพื่อนของฉัน
    เห็นรถถังวิ่งมา เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
  • 4:28 - 4:34
    บนถนนเส้นนั้น มีเก้าอี้สีแดง ตั้งอยู่มากกว่า 12,000 ตัว
  • 4:34 - 4:36
    เก้าอี้เหล่านั้นว่างเปล่า
  • 4:36 - 4:38
    เก้าอี้แต่ละตัว เป็นสัญลักษณ์
  • 4:38 - 4:42
    แทนผู้คนที่เสียชีวิตในระหว่างการโจมตี
  • 4:42 - 4:46
    เฉพาะคนในซาราเยโว ไม่นับรวมทั้งประเทศบอสเนีย
  • 4:46 - 4:49
    แถวเก้าอี้นั้นยาวจากฝากหนึ่งของเมือง
  • 4:49 - 4:51
    และยาวครอบครุมส่วนใหญ่ของเมือง
  • 4:51 - 4:55
    สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันก็คือ เก้าอี้ตัวเล็กๆ
  • 4:55 - 4:57
    ที่แทนเด็กๆ ที่เสียชีวิต
  • 4:57 - 5:01
    ตอนนี้ฉันกำลังทำข่าวซีเรีย
  • 5:01 - 5:04
    และฉันเริ่มรายงานข่าว เพราะฉันเชื่อว่า
  • 5:04 - 5:06
    มันจำเป็นต้องมีใครซักคนทำเรื่องนี้
  • 5:06 - 5:09
    ฉันเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้ต้องถูกบอกต่อ
  • 5:09 - 5:13
    ฉันได้เห็น
    ภาพลักษณะเดียวกันกับสงครามในบอสเนียอีกครั้ง
  • 5:13 - 5:15
    ในตอนแรกที่ฉันไปถึงดามัสกัส
  • 5:15 - 5:18
    ฉันเห็น ช่วงเวลาแปลกประหลาด
  • 5:18 - 5:21
    ที่ผู้คนไม่อยากเชื่อว่าสงครามจะเกิด
  • 5:21 - 5:23
    เหมือนกันกับในบอสเนีย
  • 5:23 - 5:26
    และในทุกๆประเทศที่ฉันได้เห็นสงคราม
  • 5:26 - 5:28
    ผู้คนไม่อยากจะเชื่อว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น
  • 5:28 - 5:32
    ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อพยพ ไม่อพยพออกมาในตอนที่ยังทำได้
  • 5:32 - 5:34
    พวกเขาไม่ได้ถอนเงินออกมา
  • 5:34 - 5:37
    พวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาอยากอยู่บ้าน
  • 5:37 - 5:42
    แล้วสงคราม และความวุ่นวายก็เกิดขึ้น
  • 5:42 - 5:45
    รวันดา เป็นที่ ที่หลอกหลอนความรู้สึกฉันมากที่สุด
  • 5:45 - 5:51
    ในปี 1994 ฉันเดินทางออกจากซาราเยโวช่วงนึง
    เพื่อรายงานข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
  • 5:51 - 5:56
    ในระหว่างเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม 1994
  • 5:56 - 6:01
    คนหนึ่งล้านคนถูกฆ่าสังหาร
  • 6:01 - 6:06
    ถ้าเก้าอี้ 12,000 ตัวเมื่อสักครู่ที่ให้ฉันตกใจ
  • 6:06 - 6:08
    แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับตัวเลขมหาศาลอย่างนั้น
  • 6:08 - 6:11
    ฉันอยากให้คุณลองนึกถึง คนหนึ่งล้านคน
  • 6:11 - 6:14
    เพื่อเป็นตัวอย่างของภาพเหล่านั้น ฉันจำได้ว่า
  • 6:14 - 6:19
    ฉันกำลังยืนอยู่บนถนนแล้วมองไปตามถนนจนสุดสายตา
  • 6:19 - 6:25
    น่าจะเป็นระยะประมาณหนึ่งไมล์ ตลอดทางมีแต่กองศพ
    สูงเป็นสองเท่าของตัวฉัน
  • 6:25 - 6:27
    ร่างของผู้เสียชีวิตที่ฉันเห็นนั้น
  • 6:27 - 6:30
    เป็นแค่จำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด
  • 6:30 - 6:32
    ในจำนวนนั้นยังมีแม่ที่ยังกอดลูกอยู่
  • 6:32 - 6:36
    แม่และลูกที่ถูกฆ่าตาย
  • 6:36 - 6:39
    สรุปได้ว่า เราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสงคราม
  • 6:39 - 6:41
    และที่ฉันพูดถึง รวันดา
  • 6:41 - 6:45
    เพราะมันเป็นสถานที่หนึ่ง เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในแอฟริกาใต้
  • 6:45 - 6:49
    ที่ภายในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมานี้ กำลังได้รับการเยียวยา
  • 6:49 - 6:53
    56% ของสมาชิกสภาผู้แทนในประเทศนี้ เป็นผู้หญิง
  • 6:53 - 6:55
    ซึ่งมันยอดเยี่ยมมาก
  • 6:55 - 6:59
    และยังมีสมาชิกผู้หญิง อยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย
  • 6:59 - 7:02
    ที่นั่นคุณห้ามพูดคำว่า ฮูตู หรือ ทุตซี่
  • 7:02 - 7:06
    คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกใครตามเผ่าพันธุ์ของเขา
  • 7:06 - 7:11
    ซึ่ง การแบ่งเผ่านี่เอง ที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างกันในครั้งนั้น
  • 7:11 - 7:14
    เพื่อนของฉันที่เป็นนักสิทธิมนุษยชน
    เล่าเรื่องที่สวยงามที่สุดเรื่องหนึ่งให้ฉันฟัง
  • 7:14 - 7:15
    ฉันคิดว่ามันสวยงาม
  • 7:15 - 7:20
    มันเกี่ยวกับเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเผ่าฮูตู และทุตซี่ผสมกัน
  • 7:20 - 7:23
    และผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการรับเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านั้น
  • 7:23 - 7:27
    พวกเขาเข้าแถวสองแถว
    แล้วเด็กแต่ละคนก็ถูกส่งให้กับผู้หญิงแต่ละคน
  • 7:27 - 7:30
    โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติใดๆ ว่าเธอเป็นเผ่าทุตซี่
  • 7:30 - 7:33
    หรือ ฮูตู เธออาจจะเคยฆ่าแม่ฉัน
  • 7:33 - 7:35
    หรืออาจจะฆ่าพ่อของฉันด้วย
  • 7:35 - 7:40
    พวกเขาเพียงแค่ถูกนำมาพบกัน ภายใต้ลักษณะการปรองดองดังกล่าว
  • 7:40 - 7:44
    ฉันคิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก
  • 7:44 - 7:47
    เวลาที่คนถามฉันว่า ทำไมยังคงทำข่าวสงคราม
  • 7:47 - 7:49
    ทำไมยังเป็นผู้สื่อข่าวอยู่
  • 7:49 - 7:50
    นี่คือสาเหตุว่าทำไม
  • 7:50 - 7:54
    เวลาที่ฉันกลับไปที่ซีเรีย อาทิตย์หน้าก็จะไปอีก
  • 7:54 - 7:58
    ฉันได้เห็นผู้คนที่มีความเป็นวีรบุรุษ
  • 7:58 - 8:00
    หลายคนกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
  • 8:00 - 8:04
    ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
  • 8:04 - 8:07
    นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันยังทำงานนี้อยู่
  • 8:07 - 8:12
    ในปี 2004 ฉันมีลูกชาย
  • 8:12 - 8:15
    ฉันเรียกเขาว่า เด็กชายปาฏิหารย์
  • 8:15 - 8:18
    เพราะหลังจากที่ฉันได้เห็นคนตายมากมาย
  • 8:18 - 8:22
    ได้เห็นการทำลายล้าง ได้เห็นความวุ่นวาย
    และความมืดมนในชีวิต
  • 8:22 - 8:26
    แสงแห่งความหวังคนนี้ก็บังเกิด
  • 8:26 - 8:30
    ฉันเรียกเขาว่า "ลูก้า"
    ซึ่งแปลว่า "ผู้นำแสงสว่าง"
  • 8:30 - 8:35
    เพราะเขานำแสงสว่างมาสู่ชีวิตฉันจริงๆ
  • 8:35 - 8:39
    ที่ฉันพูดถึงเขา ก็เพราะว่าตอนเขาอายุสี่เดือน
  • 8:39 - 8:43
    บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ บอกให้ฉันกลับไปที่แบกแดด
  • 8:43 - 8:47
    ที่ซึ่งฉันเคยทำข่าวมาตลอดช่วงการปกครองของซัดดัม
  • 8:47 - 8:49
    และเคยทำข่าวในช่วงหลังจากแบกแดดแตก และช่วงหลังจากนั้น
  • 8:49 - 8:53
    ฉันจำได้ว่า ฉันเดินขึ้นเครื่องบินทั้งน้ำตา
  • 8:53 - 8:55
    ร้องไห้ เพราะว่าต้่องพรากจากลูกชาย
  • 8:55 - 8:58
    ในขณะที่ฉันอยู่ที่แบกแดด
  • 8:58 - 9:00
    นักการเมืองชาวอิรักที่มีชื่อเสียงท่านนึง ซึ่งเป็นเพื่อนของฉัน
  • 9:00 - 9:03
    พูดกับฉันว่า "คุณมาทำอะไรที่นี่"
  • 9:03 - 9:05
    "ทำไมคุณไม่อยู่บ้านกับ ลูก้า"
  • 9:05 - 9:09
    แล้วฉันก็ตอบว่า "ก็ ฉันต้่องมาเห็นสิ่งเหล่านี้"
    ตอนนั้นเป็นปี 2004
  • 9:09 - 9:13
    ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของช่วงเวลานองเลือดในอิรัก
  • 9:13 - 9:16
    "ฉันต้องมาเห็น ฉันต้องได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่
  • 9:16 - 9:17
    แล้วก็รายงานมัน"
  • 9:17 - 9:21
    เขาตอบว่า "กลับบ้านเถอะ
  • 9:21 - 9:24
    เพราะถ้าคุณพลาดฟันซี่แรกของเขา
  • 9:24 - 9:27
    การเดินก้าวแรกของเขา คุณจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
  • 9:27 - 9:31
    แต่สงครามน่ะ จะยังคงเกิดขึ้นอีกเสมอ"
  • 9:31 - 9:35
    และเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ สงครามจะยังคงเกิดขึ้นเสมอ
  • 9:35 - 9:39
    ฉันคงจะหลอกตัวเองมากไป ถ้าคิดว่า ในฐานะนักข่าว
  • 9:39 - 9:41
    ในการเป็นผู้ประกาศข่าว เป็นนักเขียน
  • 9:41 - 9:46
    สิ่งที่ฉันทำนั้นสามารถหยุดสงครามได้ ฉันไม่สามารถทำได้
  • 9:46 - 9:48
    ฉันไม่ใช่ โคฟี่ อันนัน และเขาเองก็ไม่สามารถหยุดสงครามได้
  • 9:48 - 9:51
    เขาพยายามเจรจาก่อนการเกิดสงครามในซีเรีย
    แต่เขาทำไม่สำเร็จ
  • 9:51 - 9:55
    ฉันไม่ใช่นักประนีประนอมความขัดแย้ง
    ขององค์การสหประชาชาติ
  • 9:55 - 9:57
    ฉันไม่ได้เป็นแม้แต่หมออาสาสมัตร
  • 9:57 - 10:00
    และฉันบอกไม่ถูกเลยว่า ฉันรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหน
  • 10:00 - 10:03
    เวลาที่มีคนตายต่อหน้าฉัน ฉันช่วยพวกเขาไม่ได้
  • 10:03 - 10:07
    ฉันเป็นได้แค่ พยาน
  • 10:07 - 10:12
    บทบาทของฉันคือการเป็นสื่อกลาง
    ให้กับผู้คนที่ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง
  • 10:12 - 10:16
    เพื่อนร่วมงานของฉันเคยอธิบายว่า
    มันคือการส่องแสงสว่าง
  • 10:16 - 10:18
    ไปยังมุมที่มืดมิดที่สุดบนโลกใบนี้
  • 10:18 - 10:21
    และนั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามจะทำ
  • 10:21 - 10:24
    ฉันไม่ได้ประสบความสำเร็จตลอดเวลา
  • 10:24 - 10:27
    และบางครั้งมันก็น่าหงุดหงิดใจ
  • 10:27 - 10:29
    เพราะคุณรู้สึกว่ากำลังเขียนอยู่ในความว่างเปล่า
  • 10:29 - 10:31
    เหมือนไม่มีใครสนใจ
  • 10:31 - 10:33
    ใครจะสนใจเรื่องซีเรีย ใครจะต้องสนใจเรื่องบอสเนีย
  • 10:33 - 10:35
    ใครสนเรื่อง คองโก
  • 10:35 - 10:38
    ไอวอรี่ โคส ไลบีเรีย เซียร่าลีโอน
  • 10:38 - 10:40
    แต่ละส่วนของพื้นที่เล็กๆ เหล่านั้น
  • 10:40 - 10:44
    ที่ฉันจะจดจำมันไปตลอดชีวิตทีเดียว
  • 10:44 - 10:47
    แต่ การอุทิศตนของฉันก็คือ การเป็นพยาน
  • 10:47 - 10:50
    มันเป็นหัวใจ เป็นสาระสำคัญ
  • 10:50 - 10:53
    สำหรับนักข่าวอย่างเรา ที่ทำเรื่องราวเหล่านี้
  • 10:53 - 10:56
    สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่หวัง
  • 10:56 - 10:59
    ไม่ใช่หวังที่มีต่อ นักวางนโยบาย หรือ นักการเมือง
  • 10:59 - 11:01
    เพราะทั้งๆที่ฉันอยากจะเชื่อ
  • 11:01 - 11:04
    ว่าพวกเขาคงจะได้อ่านงานของฉันแล้วทำอะไรซักอย่าง
  • 11:04 - 11:07
    ฉันก็ไม่หลอกตัวเองอย่างนั้น
  • 11:07 - 11:11
    แต่สิ่งที่ฉันหวังก็คือ แค่พวกคุณจำเรื่องที่ฉันพูดได้
  • 11:11 - 11:15
    จำส่วนไหนก็ตามของเรื่องที่ฉันเล่า
    แล้วพรุ่งนี้ ตอนทานข้าวเช้า
  • 11:15 - 11:17
    ถ้าคุณจำเรื่องราวของ ซาราเยโว
  • 11:17 - 11:21
    เรื่องราวที่รวันดาได้
  • 11:21 - 11:23
    ถ้าเป็นเช่นนั้น งานของฉันก็สำเร็จแล้ว
  • 11:23 - 11:25
    ขอบคุณมากค่ะ
  • 11:25 - 11:33
    (เสียงปรบมือ)
Title:
จานีน ดี จิโอวานนี่ (Janine di Giovanni): สิ่งที่ฉันเห็นในสงคราม
Speaker:
Janine di Giovanni
Description:

นักข่าว จานีน ดิ จิโอวานนี่ ได้ไปในสถานที่เลวร้ายที่สุดบนโลก เพื่อนำข่าวกลับมารายงาน ทั้งจากบอสเนีย เซียร่าลีโอน และเมื่อเร็วๆนี้ในซีเรีย เธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาของผู้คนที่อยู่ภายใต้ความขัดแย้งเหล่านี้ และ เปิดเผยความน่าพรั่นพรึงของช่วงเวลาที่ถนนในเมืองที่เราคุ้นเคย กลายเป็นสมรภูมิรบ

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
11:53
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What I saw in the war
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What I saw in the war
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for What I saw in the war
Unnawut Leepaisalsuwanna commented on Thai subtitles for What I saw in the war
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for What I saw in the war
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for What I saw in the war
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for What I saw in the war
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for What I saw in the war
Show all

Thai subtitles

Revisions Compare revisions